พีรพล เอื้ออารียกูล

พีรพล เอื้ออารียกูล

ความประหม่า ความเกร็ง ภาพที่คิดไปก่อนแล้วว่าพิธีกรหนุ่มที่ทีมงาน MiX MAGAZINE จะมาสัมภาษณ์ในครั้งนี้ต้องมีมาดตามสไตล์คนดัง แต่สิ่งเหล่านั้นกลับมลายหายไปหมดทันทีที่คำทักทายแรกออกมาจากปากของเขา ยิ่งได้พูดคุย ยิ่งได้เห็นแง่คิดอะไรบางอย่างที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ... แชมป์ พีรพล เอื้ออารียกูล พิธีกรและผู้ผลิตรายการ ‘ชอตเด็ด กีฬาแชมป์’

“ตอนนี้ผมทำรายการกีฬา บันเทิง วาไรตี้ในสไตล์แชมป์ พีรพล นั่นก็คือรายการ ‘ชอตเด็ด กีฬาแชมป์’ ออกอากาศทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 16.45 น. ทางช่อง 3 ซึ่งในอดีตหลายคนมักมองว่ากีฬาเป็นเรื่องไกลตัว ผู้หญิงและเด็กจะไม่ค่อยสนใจ นี่จึงถือว่าเป็นภารกิจอันท้าทายของผมที่อยากให้กีฬาเข้าถึงทุกคนได้ อยากทำให้มันเข้าสู่กลุ่มคนที่กว้างที่สุด

“ผมอยากประสบความสำเร็จมากกว่านี้ ทั้งในแง่ชื่อเสียงและรายได้ เพราะถ้าประสบความสำเร็จมาก ก็จะยิ่งมีอิทธิพลต่อสังคม ซึ่งอิทธิพลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในแง่บวกได้ อย่างผมเป็นคนที่ต่อต้านและคัดค้านความรุนแรง ทั้งการใช้ความรุนแรงต่อสตรี การเอาเปรียบเด็ก การค้ามนุษย์ การใช้ความรุนแรงในครอบครัว ฯลฯ ผมจึงอยากใช้ชื่อเสียงของตัวเองเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนหันมาใส่ใจกับปัญหาเหล่านี้ให้มากขึ้น รวมไปถึงเด็กๆ ที่เรียนเก่ง เล่นกีฬาเก่ง แต่ขาดโอกาส ผมก็อยากจะช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ ซึ่งบางครั้งจะอาศัยเพียงชื่อเสียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องมีเงินด้วย โดยเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการทำงาน ผมจะหักไว้ส่วนหนึ่งเพื่อพวกเขาเหล่านั้น

“ส่วนตัวผมว่าทุกคน ทุกอาชีพที่จะก้าวขึ้นมาจุดใดจุดหนึ่งได้ก็ต้องผ่านสิ่งที่ลำบาก ทั้งดีและไม่ดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เราต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ผมเพิ่งรู้สึกว่ามีคนจำเราได้หรือเป็นที่รู้จักจริงๆ ก็เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่มีโอกาสได้ทำ ‘ชอตเด็ด กีฬาแชมป์’ 
ได้สรุปผลฟุตบอลยูโร 2012 ในสไตล์ของผมเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาและความพยายามไม่ต่ำกว่า 5 ปี เหมือนที่บอกว่ากรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว หรืออย่างสำนวนไทยที่บอกว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ”

แล้วพิธีกรหนุ่มคนนี้ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์โดยการเป็นคนไทยคนแรก และคนดังคนที่ 11 ของโลก ที่ได้รับเกียรติจากสโมสรบาร์เซโลน่า ให้เซ็นสัญญาเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสโมสร 

“ผมรู้สึกตกใจนะ เพราะตอนแรกมีโอกาสเห็นรายชื่อคนที่ถูกเชิญไป ปรากฏว่ามีแต่คนที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น อาทิเช่น บิล เกทส์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft, โคบี ไบรอันท์ นักบาสอเมริกัน, ชาคีร่า นักร้องสาวจากโคลัมเบียที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักร้องคนแรกในโลกที่ได้ร้องเพลงในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2 สมัยซ้อน, จัสติน บีเบอร์ นักร้อง ฯลฯ ซึ่งผมก็ต้องขอขอบคุณคนไทยที่ให้การสนับสนุนในฐานะพิธีกรรายการกีฬาในคราบของดาราก็ว่าได้ ไปไหนก็มีแต่คนให้การต้อนรับ บอกได้เลยว่าความสำเร็จตรงนี้ผมไม่ได้ได้มาเพราะตัวเองอย่างเดียว อย่างไรก็ตามผมรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมากที่บาร์เซโลน่าสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกให้เกียรติกับเรา และดีใจยิ่งกว่าที่สามารถเอารางวัลนี้มาให้กับคนไทยได้

พีรพล เอื้ออารียกูล
พีรพล เอื้ออารียกูล

“ผมอยากให้ทุกคนตั้งเป้าหมายให้สูง บางคนฝันว่าอยากจะสัมภาษณ์นักฟุตบอลบาร์เซโลน่า แต่ผมตั้งความฝันว่าอยากจะทำรายการกีฬาให้ดีจนบาร์เซโลน่าต้องมาสัมภาษณ์ผม แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง พอทำได้หลายคนก็บอกว่าผมดวงดี หลังจากนั้น 4 เดือน ยูเวนตุส ซึ่งเป็นแชมป์ของอิตาลีก็เชิญผมให้ไปสัมภาษณ์ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าผมสามารถทำรายการให้ออกมาดีจนสโมสรเหล่านี้เชิญเราไป ไม่ใช่เราไปขอสัมภาษณ์เขา”

หากย้อนกลับมาดูที่วงการลูกหนังไทยจะเห็นได้ว่ากำลังไปได้ด้วยดีทั้งในเรื่องฐานแฟนบอลที่เหนียวแน่น คอยติดตามถึงขอบสนามอย่างใกล้ชิด และกระแสความคลั่งไคล้ที่มีอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันก็มีข่าวการปะทะกันจนถึงขั้นใช้ความรุนแรง ซึ่งในเรื่องนี้แชมป์ พีรพล ได้ฝากแง่คิดให้แฟนบอลชาวไทยไว้อย่างน่าสินใจทีเดียว

“ผมว่ากระแสฟุตบอลมันจุดติดแล้วนะ แต่สิ่งที่ฟุตบอลไทยต้องแก้ไขคือเรื่องความปลอดภัย ยังมีแฟนบอลอีกหลายคนที่ไม่กล้าเข้าไปดูการแข่งที่สนาม เพราะเวลามีการยิงประตูเกิดขึ้นจะมีคนกระโดดลงไปในสนาม ชกต่อยกัน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นผมคิดว่าบางครั้งเราไม่ต้องเลียนแบบฝรั่งก็ได้ เราควรเอาอย่างเขาในเรื่องดีๆ อย่างระบบการเล่น ฝีเท้านักเตะ ฯลฯ หลายคนมองว่าการที่เราเชียร์กันคนละทีมแล้วสู้กัน เอาป้ายทีมฝ่ายตรงข้ามมากระทืบ ถุยน้ำลาย เผา เป็นสิ่งที่เท่ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ผมว่าคนเหล่านี้ดูกีฬาไม่เป็น 

“ที่สหรัฐอเมริกา แฟนบอลเจ้าบ้านกับทีมเยือนเขาสามารถนั่งดูด้วยกันได้ ไม่ว่าเกมจะจบอย่างไร จบก็คือจบ นั่นแหละคือกีฬา ชัยชนะของกีฬา ไม่ใช่นักบอลจะได้ค่าตัวแพง ไม่ใช่ที่นั่งในสนามจะเต็ม สำหรับผม ชัยชนะของกีฬาคือ แม้ว่าจะใส่เสื้อคนละสี เชียร์คนละทีมแต่มันจะไม่มีคำว่ากองเชียร์เจ้าบ้านกับกองเชียร์ทีมเยือน นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่าการแข่งขันอีก นี่คือสิ่งที่ฟุตบอลไทยต้องเปลี่ยน 

“ณ วันนี้ ในระดับอายุ 30 ผมว่าผมประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะผมพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ตัวเองฝันได้แล้ว แต่ตอนนี้เป้าหมายหลักที่ต้องการมีชื่อเสียง มีเงินทองมากพอที่จะสามารถช่วยคนอื่นๆ ได้ ยังไม่บรรลุ ซึ่งก็ต้องลุยกันต่อไป ส่วนความสุขของผมคือ สามารถเลี้ยงข้าวคุณพ่อคุณแม่ทุกมื้อได้โดยที่ตัวเองไม่ลำบาก เพราะเมื่อย้อนกลับไป พวกท่านให้อะไรผมมากกว่านั้นเยอะ ผมจึงอยากจะตอบแทนท่านในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่” 

Know Him

สำหรับฟุตบอลโลก 2014 เขาเลือกเชียร์ทุกทีมของเอเชีย เพราะอย่างน้อยประเทศไทยไม่ได้เข้าไปแข่งเอง ก็อยากให้ทีมที่เป็นคนเอเชียด้วยกันได้เป็นแชมป์

ตัวเขาเองคาดว่าทีมที่จะสามารถเขี่ยบราซิลเจ้าภาพให้ตกรอบได้นั้นน่าจะเป็นอาร์เจนตินา สเปน อิตาลี เยอรมนี และเบลเยี่ยม เพราะทั้งหมดนี้เป็นทีมที่ฝีไม้ลายมือพอที่จะฟาดฟันกันได้

และทีมที่น่าจะเป็นแชมป์บอลโลก 2014 นี้ในความคิดของเขานั้น “ไม่บราซิล ที่เป็นเจ้าภาพ ก็เยอรมนี”

 

 

งานท้าทาย สไตล์แชมป์