จากเชียงคานถึงหนองคาย

จากเชียงคานถึงหนองคาย

เย็นย่ำของฤดูร้อน เรามาถึงเชียงคาน อำเภอสงบงามริมโขงที่ผ่านพ้นทั้งอดีตรุ่งเรือง ความเงียบเหงาเปล่าร้างและการตื่นฟื้นในนาทีปัจจุบัน

นึกถึงเกือบสิบกว่าปีก่อน อำเภอเล็กๆ ที่สายน้ำโขงกลับย้อนมาเลียบดินแดนไทยแห่งนี้ ต้อนรับเราด้วยหมอกฉ่ำราวม่านน้ำในแม่น้ำโขง เสียงตามสายในโทรโข่งบอกกล่าวชีวิตประจำวัน ห้องแถวไม้ค่อยๆ แง้มบานประตู หลังแม่เฒ่าจกข้าวเหนียวใส่บาตรพระจากวัดศรีคุณเมือง วันทั้งวันถนนชายโขงเงียบเชียบ นานๆ จะมีรถเคลื่อนผ่านหน้าบ้าน เกสต์เฮาส์ไม่กี่เจ้าเลือกที่นี่ในนามของการมาอยู่กิน ปักหลัก และในนั้นมักเต็มไปด้วยเรื่องเล่าของนักเดินทางเลียบสายน้ำโขง

คืนวันผ่านพ้น ใครสักคนยังจำได้ หากเพราะมันกินเวลาไม่เกิน 6 ปี วันที่เชียงคานก้าวข้ามการเป็นเมืองผ่าน หรือบ้านริมโขง สู่การเป็นจุดหมายของผู้คนหลากทิศทาง ทั้งเจ้าของร้านโปสการ์ด ศิลปิน เกสต์เฮาส์ดีไซน์เก๋ หรือนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลอดีตอันล่วงเลย มันเปลี่ยนแปลงอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

เราจัดข้าวของพะรุงพะรังอย่างค่อนข้างเงอะงะ ด้วยความเป็นมือใหม่สำหรับจักรยานทางไกล ประกอบกระเป๋าทัวริงเข้าที่ตะแกรงหลัง ติดขากระติก ไฟหน้า ไฟท้าย งุนงงกับการจัดการสัมภาระ ขณะที่เพื่อนผู้ขับรถมาคอยดูแลระหว่างทางนั่งมองถนนหน้าบ้านอย่างสบายใจ

ตรวจเช็คลมยาง เติมน้ำในกระติก เราทิ้งภาพผสมผสานและปัญหาอันกดซ่อนซ้อนทับของเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ไว้เบื้องหลัง สายลมปะทะหน้าตามความเร็วที่เพิ่มขึ้นแม้จะเป็นลมร้อน แต่ก็ปัดเป่าให้สิ่งที่เรียกว่าหัวใจได้ผ่อนคลาย เบื้องขวา ภูทอกตระหง่านตั้งราวไม่รับรู้การผ่านไปของจักรยาน 2 ลำ

ผ่านพ้นเชียงคานมาได้ไม่นาน อากาศยามสายพอจะทำให้สองข้างทางคือความแช่มช้าอันรื่นรมย์ แม่น้ำโขงไหลเอื่อยเป็นระยะ บางช่วงถนนวกลัดและผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน เครื่องมือหาปลาแขวนลอยอยู่ที่คานบ้านยกพื้นใต้ถุนสูง

ถึงบ้านหาดเบี้ย ครึ่งทางระหว่างเชียงคานกับอำเภอปากชม 20 กิโลเมตรที่ผ่านพ้นบนวงรอบขา ผมแอบจักรยานพิงหินแม่น้ำโขงก้อนโตที่ใครสักคนนำมันขึ้นมาริมถนน นั่งพักและจมลงไปกับการงานของพวกเขา

ฤดูแล้งคือโมงยามของผู้คนกับแม่น้ำ หากไม่นับเรื่องหาปลา ที่เป็นเหมือนลมหายใจ คนบ้านหาดเบี้ยเลือกจะเก็บหินหลายขนาดขึ้นมาขัดล้าง แยกทรง ส่งขาย น่าทึ่งว่าพวกเขาขนกันขึ้นมาจากแม่น้ำได้อย่างไร หินต่างขนาด ทั้งกลมมนหรือแบนคล้ายเหรียญดั่งชื่อหมู่บ้าน ไปจนถึงใหญ่โตราวจักรยานสักคัน ซึ่งปลายทางมักอยู่ที่ร้านรับจัดสวนหรือสนามกอล์ฟใหญ่โต

ทางราบคือความรื่นรมย์สำหรับมือใหม่ที่อาจหาญจะปั่นทางไกล หนทางช่วงแรกต้อนรับด้วยอารมณ์เช่นนี้ เมืองเล็กอย่างปากชมรออยู่อย่างสงบนิ่ง เราล่าช้าไปมาก ด้วยแวะตามจุดชมวิว หรืออ้อยอิ่งคลายร้อนกันแทบทุกหมู่บ้าน

ที่บ้านคกไผ่หาดทรายนวลสีน้ำตาลอ่อนถูกแดดแผดเผาอยู่เบื้องล่าง แต่การงานผู้คนตรงนั้นก็ดึงให้เราเดินฝ่าเปลวร้อนลงไปหา

“แต่ก่อนเดือนหนึ่งๆ ได้เป็นบาท” พี่น้องแห่งบ้านคกไผ่ว่าฤดูแล้งเหมาะที่สุดที่จะร่อนทอง เพราะสันดอนโผล่ผุดกว้างไกล ใต้เพิงแฝกหลังเล็ก รอบด้านคือภูมิประเทศแปลกตา ดินถูกขุดขึ้นมาเป็นหลุมๆ ริมแม่น้ำมี บ่าง-ถาดไม้ก้นลึกที่บ้านคกไผ่ค่อยๆ ร่อนให้เศษดินเศษทรายไหลออกไปกับมวลน้ำ คงเหลือเพียงแร่ทองที่ก้นบ่าง ส่งประกายวามวาว

หากนิยามชีวิตคือการต่อสู้ดิ้นรน ผมรู้สึกว่าประโยคตัดพ้อเช่นนั้นไม่ได้มีผลอะไรที่จะสั่นคลอนหนทางที่เคยเป็นมา

เรามาถึงปากชมเอาเกือบเย็น 40 กิโลเมตรจากเชียงคานสิ้นสุดลง ที่บ้านโนนสวาท ราวมหกรรมเล็กๆ ของคนกับแม่น้ำจะเกิดขึ้นอย่างเรียบง่าย แก่งหินน้อยใหญ่บีบมวลน้ำให้ไหลแรง ด้านล่างลึกและเชี่ยว แต่กับพรานปลาแห่งปากชม นาทีนี้ราวกับสวรรค์ของพวกเขาทอดแห วางข่าย บางคนหิ้วปลาแม่น้ำโขงตัวโตกลับไปเป็นมื้อเย็น

คืนค่ำที่ปากชมเย็นสบาย อาการล้าตึงของนักปั่นมือใหม่ผ่อนคลายใต้เดือนดาวและความมืดมิด เป็นค่ำคืนอันน่าจดจำสำหรับคนที่เลือกออกเดินทางมาด้วยความเปลี่ยวแปลก ต่างที่ต่างถิ่น และเคลื่อนที่อยู่ด้วยความเดียวดาย

ยามเช้ามาเยือน เราต่างจมไปบนหนทางที่เลือกเช่นเมื่อวาน ทางไกลราว 62 กิโลเมตรทอดตัวหายไปในแดดสาย ผ่านพ้นปากชมออกมาไม่นาน สัณฐานของแผ่นดินริมแม่น้ำโขงที่เป็นลาดเนินก็ต้อนรับและบีบนวดเราแทบทั้งระยะทาง

ตำบลหาดคัมภีร์ยาวไกลและเต็มไปด้วยมุมสวยๆ ให้ทอดมองเป็นระยะ สวนยางพาราคลี่ขยาย ว่ากันว่าคนจากทางใต้มาหาซื้อที่ทำยางกันทีเป็นพันๆ ไร่ สวนกล้วยสีเขียวทึบก็ดึงดูดให้เพื่อนช่างภาพจอดรถแวะเก็บมุมสวยอีกหลายครั้งคราว

เนินเขาลูกแล้วลูกเล่าเรียกแรงกายและกำลังขากลางแดดจัด กว่าจะผ่านพ้นเหงื่อกาฬก็โทรมกาย ทว่ายามไหลลงไปตามเนินยาว ก็ได้ลมชื่นพัดพา มีโอกาสมองไกลไปตามภาพชีวิตรายทาง นาทีเช่นนี้สำหรับคนปั่นจักรยาน อาจเรียกได้ว่าความสุข

ที่บ้านผาแดง แผงตากใบยาสูบเรียงรายสวยงาม มีเสน่ห์และเหมาะยิ่งกับถนนสายเล็กที่รายล้อมไปด้วยวิถีทำกิน ดินดอนริมแม่น้ำโขงคือที่มาของใบยาสูบรสชาติดี ส่วนเรื่องกลิ่นหอม การตากและบ่มในโรงตากที่แขวนตับใบยาสูงท่วมหัวคือเคล็ดลับเฉพาะของแต่ละเจ้า

เรามาถึงอำเภอสังคม แดนดินสุขสงบแนบชิดแม่น้ำโขงเอาตอนย่ำเย็น ใครสักคนชวนเรียกเรี่ยวแรงท้ายๆ ด้วยการขึ้นไปชมทิวทัศน์กว้างไกลของวัดผาตากเสื้อ เมื่อขึ้นไปถึงด้วยการใช้ใบจานและเฟืองหลังครบทุกชั้น ผสมการเข็นทวนความสูง วิวกระจ่างตาตรงหน้าก็ละลายความเหนื่อยอ่อน ตัวอำเภอสังคมกลายเป็นจุดเล็กๆ ริมแม่น้ำสายกว้างและเทือกเขาเป็นริ้วชั้นที่ฉากหลัง

พลบค่ำเราลงมานั่งเล่นตามแนวเขื่อน แม่น้ำไหลเอื่อยอยู่เบื้องล่าง นาทีเช่นนี้ ไม่มีใครอยากทำอะไรนอกจากเสพความงดงามด้วยตาเปล่า ไร้นิยามมาจำกัดความ

97 กิโลเมตร คือตัวเลขที่รออยู่จากสังคมถึงตัวเมืองหนองคาย 40 กิโลเมตรแรกผ่านพ้นไปอย่างเหนื่อยอ่อน มีโอกาสแวะเข้าไปชมวิวและสักการะหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้งได้สักพัก นั่งเพลินตากับภูมิประเทศแสนอัศจรรรย์กับหินก้อนสีน้ำตาลที่ก่ายเกยกันเป็นตลิ่งที่ริมโขง เราก็กลับมาจมอยู่กับถนนและรอบปั่น บางคราวราวเสียงหายใจหืดหอบจะดังอย่างไม่สิ้นสุด

มื้อเที่ยงแสนอร่อยที่อำเภอศรีเชียงใหม่คือการผ่อนคลายชั้นยอด ฝั่งตรงข้ามคือนครหลวงเวียงจันทน์อันเติบโตคึกคัก ขณะที่ที่เรายืนอยู่ ริมแม่น้ำโขงของศรีเชียงใหม่คือตัวตนที่ยังหลงเหลือของเมืองค้าขายชายแดน ร่องรอยธนาคารกรุงศรีอยุธยาและด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ปล่อยร้าง ตึกไม้และตึกปูนศิลปะตะวันตกที่สะท้อนวัฒนธรรมเชื่อมโยงค้าขายของผู้คนสองฝั่งโขง ทั้งหมดสงบงามอยู่อย่างเหงาๆ

ออกจากศรีเชียงใหม่ไปตามหนทาง เมื่อถึงอำเภอท่าบ่อ ชุมทางของสินค้าขึ้นล่อง เมืองอันเติบโต เราเลือกใช้เส้นทางสายเลี่ยงถนนใหญ่ ปล่อยให้ 57 กิโลเมตรในช่วงบ่ายเป็นเรื่องของความผ่อนคลาย เลียบแม่น้ำโขงที่ผ่านไปทั้งไร่ยาสูบ แนวก้ามปูครึ้มราวอุโมงค์สีเขียว และช่วงที่ราชพฤกษ์ผลิดอกเหลืองอร่าม กลายเป็นสิ่งงดงามประดับตา

แดดอ่อนแรงลงพร้อมร่างกาย ที่หาดจอมมณี อากาศร้อนอ้าวผลักพาให้เด็กๆ และวัยรุ่นหนุ่มสาวเลือกแม่น้ำโขงเป็นที่ผ่อนคลาย สะพานมิตรภาพไทย-ลาวหยัดยืนและเชื่อมโยงมิติของผู้คนสองฝั่งแดนแบบสมัยใหม่ไว้อย่างงดงาม มันเป็นยามเย็นที่เพื่อนช่างภาพไม่อาจผ่านเลย ฉากหลังคืออาทิตย์กลมโตกำลังหย่อนตัว

เราจบตรงจุดหมายที่ตั้งกันไว้คร่าวๆ ในเวลา 3 วัน2 คืน เพื่อนร่วมทางตลอดการบากบั่นอย่างแม่น้ำโขงและจักรยาน ขณะนี้แนบกลืนกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

คิดถึงคืนวันและถ้อยคำของผู้คนตรงชายแดนที่เราเลาะเลียบมันมาตลอดเส้นทาง พานพบภูมิประเทศและผู้คนที่ตกหล่นจากการรับรู้หลากหลายสำหรับคำว่าชายแดน น่าแปลกที่ไม่มีใครพูดถึงมันสักเท่าไหร่ ยามที่ชีวิตต้องเดินไปบนหนทางที่ทอดวางอย่างไร้การแข็งขืนฝืนต้าน อ่อนน้อม และเคารพในทิศทางของตัวเอง กับหนทางสายหนึ่ง ผู้คนประเภทหนึ่ง เสมือนว่าความหมายของมันจะก้าวเลยผ่านพ้นคำว่าเส้นแบ่งและขอบเขต 

ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 211 เงียบเชียบและชาเฉย