นวพร ธรรมรัตน์วิภาค  & มรกต ชมบุญ

นวพร ธรรมรัตน์วิภาค & มรกต ชมบุญ

Tistgraphy เกิดขึ้นจากคนสองคนคือ “กัน นวพร ธรรมรัตน์วิภาค” และ “มิ้นต์ มรกต ชมบุญ” ที่เบื่อจากงานประจำที่ลิดรอนความสุขของทั้งคู่ไปทีละน้อยๆ จึงตัดสินใจลาออกเพื่อทำอะไรที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง มีอิสระอย่างที่ต้องการ และสามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองได้ แบรนด์นี้จึงถือกำเนิดขึ้น

ชื่อที่ทั้งคู่นำมาตั้งเป็นแบรนด์ก็เกิดจากการดึงสิ่งใกล้ตัวเข้ามาใช้ คุณกันนั้นเรียนจบด้านจิตรกรรมจากมหาวิทยาลัยศิลปากร มีความฝันอยากเป็นศิลปิน (Artist) ส่วนคุณมิ้นต์ก็เรียนจบการถ่ายภาพ (Photography) จากสถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารฯ ลาดกระบัง ไอเดียที่นำเอาคำสองคำนี้มาผสมกันจึงผุดขึ้นมา เพราะเกี่ยวข้องกับวิชาที่ทั้งคู่ร่ำเรียนมา (Artist+Photography)

ชื่อที่ทั้งคู่นำมาตั้งเป็นแบรนด์ก็เกิดจากการดึงสิ่งใกล้ตัวเข้ามาใช้ คุณกันนั้นเรียนจบด้านจิตรกรรมจากมหาวิทยาลัยศิลปากร มีความฝันอยากเป็นศิลปิน (Artist) ส่วนคุณมิ้นต์ก็เรียนจบการถ่ายภาพ (Photography) จากสถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารฯ หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มมองหาความเป็นไปได้จากสิ่งที่คุ้นเคยและรู้จักเป็นอย่างดีที่สุดก่อน ซึ่งคำตอบก็นั่งรออยู่ข้างๆ พวกเขาแล้ว นั่นคือ “สุนัข” ความผูกพันที่ทั้งคู่มีต่อเจ้าตูบสี่ขานี่เองที่ทำให้เกิดลวดลายบนเสื้อยืด ผ้าพันคอ ปลอกหมอนกระเป๋าผ้า และอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย

“กันจะดูแลเรื่องการดีไซน์การใช้ความคิด ส่วนมิ้นต์จะดูแลในส่วนของการจัดการทุกอย่าง เรื่องการตลาด เมื่อก่อนเราก็ทำตามใจตัวเอง วางแผนไม่เป็น ช่วยกันทำแค่ 2 คน พยายามปล่อยสินค้าออกมาทุกอาทิตย์ แต่พอเริ่มรู้มากขึ้น ตอนนี้ก็แพลนกันไว้ว่าจะทำเป็นคอลเล็กชั่นออกมา เพราะเราเองก็เห็นความสำคัญของแฟชั่นการตลาดว่ามันจะมีวิธีการอย่างไรได้บ้าง

“เราอยากขายงานเรา อยากนำเสนอด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่ทำออกมาเยอะๆ แล้วให้ใครก็ไม่รู้เอาไปขาย เขาจะไม่รู้ถึงคุณค่าผลงาน ไม่เหมือนเราที่เป็นคนผลิตขึ้นมา

“อย่างคอลเล็กชั่นหนึ่งที่ทำขึ้นมาเป็นลายสุนัขพันธุ์ทาง รายได้ส่วนหนึ่งก็นำไปบริจาคให้กับมูลนิธิที่ดูแลสุนัขจรจัดตามต่างจังหวัด” 

คุณมิ้นต์เล่าให้ฟังถึงบทบาทและความถนัดที่แตกต่างกันของทั้งคู่ เมื่อถูกนำมารวมกัน ก็ยิ่งจะผสานกันได้อย่างลงตัว และทุกขั้นตอนทั้งหมดนั้นพวกเขาทำกันเอง จะมีก็แค่บางอย่างที่ต้องจ้างโรงงานทำขึ้นมา เช่น การขึ้นรูปเสื้อยืด

“เดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่มักจะวาดผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์หมดแล้ว แต่ผมไม่ถนัด ซึ่งเวลาจะทำอะไรสร้างสรรค์ขึ้นมาซักอย่าง ก็ควรเลือกสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและรู้จักกับมันมากที่สุด พอวาดเสร็จ มิ้นต์ก็จะใช้งานโปรแกรมแต่งภาพจัดการภาพที่ผมวาดลงสมุดสเก็ตซ์ ก่อนจะพิมพ์ลายลงบนเสื้อ หน้าที่ของแต่ละคนจึงผสมผสานกัน”

คุณกันผู้รับหน้าที่จับดินสอสร้างลายเซ็นของตัวเองบนผืนผ้าพูดขึ้น พร้อมกับบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่จับดินสอมาตลอด 4 ปีที่เรียนอย่างเขา ส่วนที่เหลือก็รอแค่ไอเดียวิ่งเข้ามาลวดลายก็พร้อมจะเกิดขึ้นให้เห็นแล้ว

ในช่วงแรกจากเคยคิดทำสินค้าเฉพาะกลุ่ม ทำเป็นลายสุนัขพันธุ์เฟรนช์บูลด็อกเพียงอย่างเดียว โดยมีนายแบบอย่าง “มะเดี่ยว” สุนัขที่บ้านคุณกันเลี้ยงเอาไว้ แต่ทว่าเมื่อพวกเขาได้สัมผัสกับลูกค้าจริงๆ ก็รู้ว่า กลุ่มคนเลี้ยงสุนัขนั้นมีหลากหลาย การขยับขยายผลิตงานลวดลายอื่นๆ จึงทยอยออกมาโลดแล่นกันอย่างเต็มที่

“ลายเสื้อแต่ละลายมันก็ขึ้นอยู่กับความนิยมของคนเลี้ยงสุนัขแต่ละสายพันธุ์ในช่วงเวลานั้นๆ พอรู้แล้วว่าจะเป็นสุนัขพันธุ์ไหน ทีนี้เราก็จะจับเรื่องแฟชั่นที่กำลังฮิตในช่วงนั้นมาสร้างคาแร็กเตอร์ใหม่ขึ้นมา เช่น หมวกปานามา แว่นตา เสื้อผ้า ทรงผม หรืออะไรที่เป็นวินเทจก็จะเอามาประยุกต์เข้าด้วยกัน”

สำหรับผลงานที่เป็น Masterpiece คุณมิ้นต์บอกว่าคือหมอนที่ไดคัทเป็นหน้าสุนัข ทรงเหลี่ยมๆ ดูน่ารัก ทำออกมาเท่าไหร่ก็ขายหมด 

ตลอดเวลาในช่วง 1 ที่ผ่านมา ทั้งคู่บอกว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้น ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด เป้าหมายต่อไปก็ยังอยากรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้เหมือนที่เคยเริ่มต้นกันมาตั้งแต่แรก นั่นคือ รักษาความเป็นแบรนด์เล็กๆ และใกล้ชิดกับลูกค้ามากกว่าที่จะทำออกมาขายแบบเน้นปริมาณ

 

เมื่อลองหยิบเอาสิ่งใกล้ตัวที่คุ้นเคย