ความน่ารักของสองดาวรุ่งดวงใหม่ “มิ้ม รัตนวดี วงค์ทอง” และ “พีพี ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์” กับแฟชั่นเซทที่ทั้งสวยและหวานละมุน : TEA TIME TRAVEL

ความน่ารักของสองดาวรุ่งดวงใหม่ “มิ้ม รัตนวดี วงค์ทอง” และ “พีพี ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์” กับแฟชั่นเซทที่ทั้งสวยและหวานละมุน : TEA TIME TRAVEL

การถ่ายแบบของ MiX Magazine ในธีมเล่ม TEA TIME TRAVEL มนต์สะกดแห่งรสนิยม ฉบับนี้มีความพิเศษตรงที่ว่า เราได้นำเอานักแสดงดาวรุ่ง จากภาพยนตร์และละครดังมาไว้คู่กัน คือ มิ้ม รัตนวดี วงค์ทอง ผู้ที่โด่งดังมากจากการแสดงบท แย้ม ในภาพยนตร์เรื่อง ธี่หยด กับ พีพี ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์ นักแสดงที่แจ้งเกิดจากบทบาท แม่ปราง ลูกสาวของพี่หมื่นและการะเกด ในละครเรื่อง พรหมลิขิต 2 คน 2 บทบาท แต่กลับถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกจนเป็นที่รักของผู้ชม เรามารู้จักตัวตนของทั้งสองสาวกันดีกว่า

มิ้ม รัตนวดี วงค์ทอง

คุณช่วยบอกนิสัยของตัวเองหน่อยว่าเป็นอย่างไร

มิ้ม รัตนวดี : เป็นคนเรียบร้อยนะคะ เป็นคนพูดน้อย ล้อเล่นค่ะ จริง ๆ ก็เป็นคนเฮฮาสนุกสนา นเฟรนลี่ และไนซ์กับทุกคนนะคะ

ไลฟ์สไตล์ของคุณเป็นอย่างไร

มิ้ม รัตนวดี : โดยส่วนตัวหนูเป็นคนชอบไปนั่งที่คาเฟ่ค่ะ เป็นไลฟ์สไตล์ของหนู แล้วจะมีกลุ่มเพื่อน ๆ ที่ชอบไปถ่ายรูปที่คาเฟ่ด้วยกันค่ะ

จุดเริ่มต้นในการเข้าวงการบันเทิง

มิ้ม รัตนวดี : หนูเริ่มต้นประมาณ 8 ขวบค่ะ โดยการสนับสนุนของครอบครัว แต่ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบ หนูมักถามคุณแม่ทุกครั้งว่าทำไมต้องมาแคสงาน เพราะในตอนนั้นกว่าจะได้แต่ละงานมันยากมาก แต่พอเริ่มโตก็มีงานเข้ามามากขึ้น จึงสนุกไปกับบรรยากาศการทำงานในกองถ่าย ทำให้รู้สึกว่าเราชอบแล้วก็รักมันตั้งแต่ตอนนั้น

ช่วงเวลาที่ไปแคสงานแล้วไม่ได้งานมีท้อใจบ้างไหม

มิ้ม รัตนวดี : มีค่ะมันรู้สึกท้อ เพราะเรารู้ว่าถ้าเราแคสไปก็อาจไม่ได้ไปต่อไปของงานนั้น ใจก็เริ่มแป้วแต่มีครอบครัวคอยให้กำลังใจ จะบอกให้เราสู้ตลอด หลังจากวันนั้นหนูก็พยายามพัฒนาตัวเอง อย่างบทร้องไห้ตอนแรกหนูเล่นแทบไม่ได้ ก็ทำการฝึกให้ตัวเองร้องไห้ให้ได้ หรือบางอย่างเราต้องวางแผนว่าถ้าเราไปแคสโฆษณา ทีมงานเขาชอบประมาณไหน เราก็ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ

คุณแบ่งเวลาสำหรับการเรียนและการทำงานอย่างไร

มิ้ม รัตนวดี : ตอนนี้หนูกำลังเรียนปี 1 คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยศรีปทุม เหตุผลเรียนกฎหมายเพราะว่าอยากช่วยเหลือคนอื่นและปกป้องตัวเองด้วยความรู้ ตอนนี้ต้องทำงานในวงการบันเทิงและเรียนไปด้วย แต่โชคดีที่มีเพื่อน ๆ ช่วยจดบันทึกสิ่งที่อาจารย์สอนไว้ให้ เวลาหนูทำงานเสร็จจะมาหาเพื่อนเพื่ออ่านตามหลัง ก็ขอบคุณเพื่อน ๆ และอาจารย์ที่เข้าใจ

คุณเข้ามาแสดงภาพยนตร์เรื่องธี่หยดได้อย่างไร

มิ้ม รัตนวดี : คือมีคนติดต่อมาให้ไปแคสภาพยนตร์ก็ดีใจมาก แต่มารู้ว่าเป็นหนังผีก็คิดหนักอยู่พอสมควร เพราะต้องถอดเหล็กดัดฟันออกทั้งหมด และต้องตัดผมสั้น เพราะหนูไว้ผมยาวมานาน รู้สึกว่าตายแล้วเราจะรอดมั้ยนะ ซึ่งพอไปแคสดูรู้สึกว่าเป็นบทที่น่าเล่น อย่างน้อยบทของแย้มจะได้พิสูจน์ฝีมือของตัวเอง ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของหนูด้วย

ในการแสดภาพยนตร์เกี่ยวกับผี ชีวิตจริงคุณเคยเจอเรื่องราวเหนือธรรมชาติบ้างไหม

มิ้ม รัตนวดี : ชีวิตจริงหนูเป็นคนกลัวผีก็คิดว่าผีมีจริงนะคะ เพราะว่าเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องแปลก ๆ จำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่งหนูกำลังอาบน้ำอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อมิ้ม ๆ คือปกติคนที่เรียกคือคุณพ่อซึ่งมักมาเช็คว่าตื่นรึยัง หลังจากนั้นมีเสียงจากนอกห้องน้ำมาเรียกชื่อหนู มิ้ม ๆ อีก หนูก็เลยตอบกลับไปว่า ว่าไงเรียกทำไม หลังจากนั้นเสียงก็เงียบไม่มีคนตอบกลับ หนูก็...ตายละ เพราะปกติต้องเป็นเสียงคุณพ่อ หนูก็บอกว่าไม่เล่นนะ วันนั้นหนูตกใจมาก แต่ไม่รู้ว่าเราคิดไปเองไหม แต่ว่าได้ยินจริง ๆ

เป้าหมายในอนาคตของคุณคืออะไร

มิ้ม รัตนวดี : จริง ๆ เป้าหมายของหนูคืออยากทำงานในวงการบันเทิง แล้วก็อยากเป็นที่รักของทุกคน มีคนรู้จักเราเยอะ ๆ แล้วที่สำคัญเวลาผู้กำกับหรือคนเขียนบทไปอ่านนิยายจบแล้วมีแนวคิดสร้างหนัง ก็อยากให้เขานึกถึงเราในการเป็นนักแสดงค่ะ

พีพี ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์

ชีวิตวัยเด็กของคุณเป็นยังไงบ้าง

พีพี ปุญญ์ปรีดี : เป็น 2 รูปแบบคือทั้งแสบซนแล้วก็เรียบร้อย คือตอนเด็ก ๆ ช่วงที่ยังไม่ถูกตีกรอบ พีพีจึงซนมากเป็นเด็กที่ชอบปีนต้นไม้ ปีนหลังคาใช้ชีวิตลุย ๆ พอเริ่มโตขึ้นช่วงที่เข้าไปอยู่ในโรงเรียนได้ คุณพ่อคุณแม่ชอบชวนเราไปงานเลี้ยง พวกท่านพยายามให้หนูทำตัวเรียบร้อย อย่าซนทำตัวเฉย ๆ ไว้ ทำให้หนูมีทั้ง 2 คาแรคเตอร์ค่ะ ก็คือลึก ๆ แล้วเป็นเด็กแสบเด็กซนเด็กสนุก แต่ในทางเดียวกันเราก็รู้จักกาลเทศะเรียบร้อย

คุณเริ่มต้นเข้าวงการบันเทิงอย่างไร

พีพี ปุญญ์ปรีดี : ตอนเด็ก ๆ ประมาณ 12 ขวบ พีพีเห็นคุณแม่ชอบดูละครมาก พอท่านดูแล้วยิ้มมีความสุข ก็คิดว่าอยากจะเอาตัวเองไปอยู่ในจอทีวีเพื่อให้แม่เห็นเรา ตรงนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่อยากเข้าวงการบันเทิงค่ะ

กลับมาปัจจุบัน คุณรู้สึกอย่างไรบ้างที่เป็นหนึ่งในนักแสดงละครเรื่องพรหมลิขิต

พีพี ปุญญ์ปรีดี : เป็นความดีใจค่ะ เพราะหนูไม่คิดไม่ฝันเลยว่าละครที่เราดูอยู่ในทีวี เรื่องบุพเพสันนิวาส วันหนึ่งเราจะได้มาเล่นเป็นภาคต่อของละคร ได้มารับบทลูกก็คือบทแม่ปราง เป็นความดีใจมากกว่าค่ะ ในส่วนของการทำงานก็มีความกดดันระหว่างถ่ายทำพอสมควร เพราะว่าด้วยความที่เราเป็นเด็กใหม่ค่อนข้างจะเกร็ง ๆ แต่ด้วยความที่พี่ ๆ ในกองถ่ายทุกคนน่ารักก็เลยทำให้ความเคอะเขินของเราลดลง ณ วันที่หนูแสดงก็ทำเต็มที่ มีความสุขในการทำงาน ส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไงก็ต้องปล่อยไป

แล้วคุณเตรียมตัวอย่างไรบ้างกับการแสดงละครย้อนยุค

พีพี ปุญญ์ปรีดี : ละครพรหมลิขิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ทำให้เตรียมตัวค่อนข้างยาก แต่ตัวละครของหนูเป็นตัวละครที่สร้างขึ้นมาใหม่มีความผสมผสานกันระหว่างยุคอดีตกับยุคปัจจุบัน ทำให้ค่อนข้างแสดงง่ายกว่าคาแรคเตอร์อื่น ๆ อย่างไรก็ตามก็ยังแสดงยากอยู่ดี เพราะหนูไม่เคยเล่นละครย้อนยุคแบบนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่เรื่องของภาษา มันค่อนข้างยากมาก ๆ สิ่งที่หนูเตรียมตัวก็คืออ่านทำความเข้าใจ พยายามอยู่กับบทเยอะ ๆ ค่ะ

ถ้าหากคุณมีโอกาสย้อนเวลากลับไปในอดีต คุณจะทำอะไร

พีพี ปุญญ์ปรีดี : มันมี 2 ความคิดค่ะว่าใจนึงก็อยากกลับไปแก้ไขอดีตที่อยากทำ ไปโฟกัสกับตัวเองให้มากขึ้น อยากเรียนร้องเพลงและเรียนการแสดงเพิ่มขึ้น อยากรู้จักร่างกายตัวเองมากกว่านี้ พอเข้ามาทำงานวงการบันเทิงเราจะได้เก่งเลย แต่อีกใจก็รู้สึกว่าไม่อยากไปแก้ไขอะไร เพราะว่าถ้าหนูกลับไปแก้ไข ปัจจุบันทุกวันนี้มันอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ หนูก็เลยรู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันดีแล้ว เป็นตัวเราในทุกวันนี้ทำให้ทุกคนได้รู้จักหนูในฉบับนี้คือเป็น พีพี ปุญญ์ปรีดี

คิดว่าตัวของคุณในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป

พีพี ปุญญ์ปรีดี : ในวันนี้หนูเพิ่งเล่นละครไป ก็มีความฝันเล็ก ๆ สเต็ปแรกก็คืออยากเล่นภาพยนตร์ค่ะ ต่อมาก็คืออยากโกอินเตอร์ นี่คือความฝันสูงที่สุด อยากรู้ว่าการทำงานของต่างประเทศเป็นอย่างไร อยากไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากที่อื่นมา แล้วช่วยกันยกระดับวงการบันเทิงไทยให้มันดีขึ้นไปอีก

 

การร่วมงานกันครั้งแรกผ่านแฟชั่นเซทที่ทั้งสวยและหวานละมุนของสองดาวรุ่งดวงใหม่ “มิ้ม รัตนวดี วงค์ทอง” หรือ แย้ม จากภาพยนตร์เรื่อง “ธี่หยด” และ “พีพี ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์” หรือ แม่ปราง จากละครเรื่อง “พรหมลิขิต”