T BMT : OGs Comeback กลับมาแร็ปให้เด็กมันดู

T BMT : OGs Comeback กลับมาแร็ปให้เด็กมันดู

ย้อนกลับไปช่วงหลายปีก่อน ยุคสมัยฮิปฮอปคัลเจอร์ในประเทศไทยถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ไม่มีใครรู้จัก เหล่า OG ในวันนั้นเมื่อครั้งยังเป็น New Kids พวกเขาต่างช่วยกันบุกป่าฝ่าดง ลงทุน ลงแรง ถางทางเพื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ฮิปฮอปให้กลายเป็นที่รู้จักในบ้านเราให้ได้ จนวันเวลาล่วงเลยผ่านมาหลายสิบปี ในวันที่ฮิปฮอปผลิดอกออกผลอย่างงดงาม หนึ่งในตำนานของวงการฮิปฮอปไทย ที เกษมสันต์ วงศ์อารีย์ หรือ ที วงขันที (Khan-T) พร้อมแล้วที่จะกลับมาลงสนามอีกครั้ง กลับมาแร็ปให้เด็กมันดูในนามของ BMT

"ยุคนั้นเวลาเราจะหาเพลงฮิปฮอปใหม่ ๆ ฟัง เราก็ต้องฝากเพื่อนที่ไปเมืองซื้อเทป ซีดีบ้าง วิดีโอบ้าง ฝากเขาซื้อกลับมา ยุคนั้นที่พวกผมชอบเต้นกันก็ได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งมาจาก MC Hammer จาก Vanilla Ice ที่เป็นสายเต้นในตอนนั้น แต่ฮิปฮอปสายลึก ๆ ที่พวกผมฟังก็มีนะ มีฟัง Dr.Dre, Snoop Dogg, NWA, 2Pac, The Notorious B.I.G ประมาณนี้ครับ" T BMT

สำหรับเมืองไทย ย้อนกลับไปเกือบ 30 ปีก่อน ในยุคที่วิทยุและทีวีคือสื่อที่ทันสมัยที่สุด ฮิปฮอปถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ใคร ๆ ก็ไม่รู้จัก การเป็นเด็กฮิปฮอป ร้องแร็ป เต้นบีบอย ไถสเก็ตบอร์ด ไม่ใช่เรื่องที่คูล ๆ ที่ใครก็ให้ความสนใจ ซ้ำร้ายยังถูกมองด้วยแววตาช่างสงสัยเชิงตำหนิ ว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั่นมันคืออะไรที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย

"ฮิปฮอปในเข้าถึงยากมาก ผมเพื่อน ๆ ก็เล่นสเก็ตบอร์ดกัน ฝึกเล่นท่าต่าง ๆ พวกผมมองว่ามันเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง พอเล่นไปเล่นมาเริ่มเบื่อ รู้สึกว่าถ้าเราล้มแล้วขาหักไป สมมุติล้มแล้วพิการไปทำไงดี ก็เลยเปลี่ยนความคิด เรามาทำอะไรที่ทำแล้วได้เงินดีกว่า สเก็ตบอร์ดเมืองนอกเขาเล่นแล้วได้เงิน แต่เมืองไทยเล่นแล้วไม่ได้เงิน ไม่มีใครสนับสนุน คนจะมองว่าแปลก ไร้สาระจังไอพวกนี้ เลยหันมาชอบฮิปฮอป ฟังเพลงแร็ป แต่งตัว คนก็มองอีกว่าแต่งตัวอะไร ฟังเพลงอะไรวะ ฟังไม่รู้เรื่อง ไร้สาระ" T BMT

ความรักที่มีต่อฮิปฮอป และความรู้สึกที่อยากพิสูจน์ให้คนได้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันไม่ได้ไร้สาระเลย พี่ที เกษมสันต์ วงศ์อารีย์ กับชาวแก๊งที่เปี่ยมด้วยพลังของวัยรุ่นในยุคนั้นได้รวมตัวกันบุกป่าฝ่าดง ตัดหญ้าถางทาง หว่านเมล็ดพันธุ์เพื่อชาวฮิปฮอปรุ่นหลังลงพื้นดินในแบบที่พวกเขาเลือกเอง และเส้นทางที่พี่ทีเลือกก็คือการทำเพลงในนามของ ขันที (Khan-T)

Intro : เส้นทางกว่าจะเป็นศิลปิน

T BMT : ตอนนั้นผมกับขันและเพื่อน ๆ ในแก๊งก็มีความรู้สึกว่าคนเขาไม่รู้จักเพลงฮิปฮอป เพราะฉะนั้นเราต้องทำเองนะ พวกผมก็ไปซื้อเครื่องมือมาทำดนตรีกันเอง อัดกันเองใส่เทปคาสเซ็ท อัดในเครื่อง Four-Track  

ตอนนั้นคือคล้าย ๆ ว่าหลับหูหลับตาทำกัน ทีนี้พอเราอัดไปอัดมาก็เริ่มรู้สึกว่านี่เราจะทำเพลงเพื่อฟังกันเองอย่างเดียวหรอ จะไม่แบ่งให้คนอื่นฟังบ้างหรอ เราน่าจะทำให้เมืองไทยมีศิลปินฮิปฮอปบ้างนะ ทีนี้ผมกับขันก็เริ่มไปหาค่ายเพลงกันในยุคที่ไม่มีคนรู้จักคำว่าฮิปฮอป รู้จักแร็ปเลย พวกผมก็เดินเข้าไปแทบทุกค่ายก็ไม่มีค่ายไหนสนใจเลย เพราะเขาไม่รู้จัก เขาไม่เข้าใจ แร็ปคืออะไร ไม่รู้จัก ฟังไม่รู้เรื่อง บ่นอะไรกันวะ

เอาจริง ๆ ตอนนั้นพวกผมก็เริ่มท้อแล้วเหมือนกันนะ ตัดสินใจว่าจะทำเพลงกันเองแล้ว จนได้ไปเจอเพื่อนแอฟริกันอเมริกันคนหนึ่งชื่อ A-Jay พอได้รู้จักกันเขาก็เอาเดโมของพวกผมไปให้ค่าย Music X พอค่ายได้ฟังเขาก็ชอบ บอกเด็กพวกนี้มีความสามารถ เห็นว่าแปลกดีก็เลยเรียกเข้ามาคุย เริ่มเซ็นสัญญาร่วมกัน ซึ่ง A-Jay คนนี้โปรดิวเซอร์ให้ ขันที (Khan-T) กับ โจอี้ บอย (Joey Boy)

ยุคของขันที (Khan-T)

T BMT : หลังผมกับขันเซ็นสัญญาเขาก็ปล่อยให้ทำเพลงในแบบที่พวกเราอยากได้ ค่ายเขาเปิดกว้างมาก แบบโอเคอัลบั้มมี 10 เพลง เขาขอ 3 เพลงเป็นเพลงตลาด อีก 7 เพลงที่เหลือแล้วแต่ขันกับทีเลย พวกผมก็โอเค เพราะว่าเข้าใจค่าย เราไม่ได้ทำงานคนเดียว เราทำงานเป็นทีม ต้องฟังเหตุผลของคนอื่นด้วย แบบ 50/50 ตอนทำเพลงมี A-Jay ช่วยโปรดิวซ์ให้ ทำกันสามคน

หลังจากนั้นค่ายเพลงมาบอกว่าจริง ๆ เราสองคนเหมือนเป็นวงนะ งั้นตั้งชื่อวงกันมา พวกผมคิดกันมาประมาณเกือบ 3 เดือน คิดยังไงก็คิดไม่ออก จนมีวันหนึ่งพวกผมออกไปข้างนอกกัน แล้วเพื่อนก็เรียก ขันทีมาแล้วเว้ย ผมกับขันก็รู้สึกแบบ เห้ยมันเรียกขันที มึงก็ชื่อขัน กูก็ชื่อที งั้นทำไมเราไม่ตั้งชื่อวงเป็นชื่อนี้ พอเอาไปเสนอค่ายเขาก็เห็นด้วย ถือเป็นเรื่องตลกดีที่พวกเราคิดมาตั้งนาน บทจะได้ก็ได้ง่าย ๆ เลย

 

หลังจากทำเพลงเสร็จทั้งหมดก็ออกอัลบั้มแรก ชื่อ "Hip Hop Story" ก็โอเคครับ ฟีดแบคดีในยุคนั้น เพลงของขันทีเป็นเพลงสนุกไม่ใช่เพลงฆ่าฟัน ถึงอาจจะใหม่แต่ก็ได้การตอบรับดีขึ้นเรื่อย ๆ เราออกอัลบั้มใกล้ ๆ กับ โจอี้ บอย คือฮิปฮอปตอนนั้นที่เมืองนอกมันดังมากนะ ดังมาตั้งนานแล้ว คือในยุคนั้นไม่มีใครรู้จักจริง ๆ แม้กระทั่งตอนขันทีออกอัลบั้มเล่นคอนเสิร์ตแล้ว พวกผมก็ต้องสอนคนดูให้รู้จักการโยกหัวแบบฮิปฮอป

ผมงงเหมือนกันว่าทำไมเมืองไทยถึงไม่ค่อยทำฮิปฮอปกัน ย้อนกลับไปจริง ๆ มีแร็ปคนแรกของประเทศไทยก็คือพี่เจ เจตริน อย่างเพลง "ยุ่งน่า" นี่แหละเพลงแร็ป แล้วแร็ปของพี่เจตอนนั้นก็ขายได้ดี แต่แปลกนะค่ายเพลงไม่ค่อยอยากทำ แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ผมเห็นส่วนใหญ่ค่ายเพลงก็ไม่ค่อยทำ ฮิปฮอปก็จะออกมาทำกันเอง ไม่มีใครสนับสนุนก็ออกมาลุยกันเอง ฝ่าฟันกันเองจนเขาโตขึ้นมาได้กันเองอย่างที่เห็น

สำหรับขันที เราฟอร์มวงอยู่ 3 ปี ออก 3 อัลบั้ม แล้วเราก็ไปอยู่แกรมมี่ แล้วตอนหลังขันเขาก็อยากทำเพลงแบบ "ชูวับ ชูบีดู" เขาอยากทำอัลบั้มจังหวะมีเดียมหมดเลย ซึ่งผมก็มองว่าไม่ได้ ขันทีต้องมีเพลงเร็วบ้าง คนชอบเราเพราะเพลงสนุกด้วย ขันเขาก็ยังยืนยัน งั้นความคิดของเราไม่ตรงกันแล้วก็แยกเลย จังหวะพอดีกับมีพี่คนหนึ่งจากค่ายอังกอร์ ในเครื่อแกรมมี่ ชักชวนให้ผมไปอยู่ด้วย สรุปผมก็ไปอยู่เพราะเขาบอกว่าอยากทำเพลงอะไรก็ทำเลย แต่สุดท้ายผมก็โดนดอง 2 ปีกว่าก็เลยไม่ได้ทำอัลบั้มออกมา

Run วงการ

T BMT : จริง ๆ ผมกับขันเราก็ไม่ได้ทำเพลงด้วยกัน แต่ยังติดต่อยังสนิทกับเหมือนเดิม หลังจากนั้นขันเขาไปอยู่อเมริกา ผมก็บินตามไป ไปอยู่ด้วยกัน 3 เดือนตลอด 24 ชั่วโมง คิดดูว่าเราสนิทกันขนาดไหน ระหว่างนั้นก็มีค่ายค่ายติดต่อผมมาว่า ทีกลับมาที่ไทยสิ เดี๋ยวพี่ทำอัลบั้มให้ แล้วตอนนั้นผมโดนเพื่อนบางคนดูถูกว่า ทีคนอย่างมึงทำอัลบั้มเดี่ยวไม่ได้หรอก ผมก็นึกแบบทำไมกูจะทำไม่ได้วะ ผมเลยอยากทำให้เขาเห็น พอค่ายติดต่อมาคุยกันจนมั่นใจผมบินกลับมาไทยเลย พอกลับมาเริ่มทำงานได้แค่ 3 เดือน สรุปค่ายบอกไม่ทำแล้ว ผมแบบอ้าว แล้วให้ผมบินกลับมาเนียนะ พออยู่ไทยผมก็ไม่ได้บินกลับไปแล้ว เป็นช่วงเดียวกับขันเขาก็มีเวย์ (DABOYWAY) กับเดย์ (SD Thaitay) อยู่ที่นั่น เขาก็เริ่มทำ Thaitanium ตอนนั้นมีผม กับ Jroc เพื่อนในแก๊งส์ที่กลับมาอยู่ไทยเหมือนกัน

ปีที่กลับมาตอนนั้นคือปี 2001 ผมกับ Jroc ก็หาอะไรทำให้ฮิปฮอปในเมืองไทยไม่เงียบ ตอนนั้นก็มีไอเดียว่าเรามาทำเหมือนเมืองนอกกันดีกว่า ทำ Mixtape กัน ใช้ชื่อว่า Mix Tape Thaitanium ทำสตูดิโออัดเสียงที่บ้าน ทำกันอยู่ 6 ชุด ทำเองทุกขั้นตอน ได้รู้จักเด็กใหม่ ๆ ซึ่งตอนนั้นก็มีเกือบร้อยคน เช่น JUU4E พวก Rastafari นอกจากนี้ผมเองก็อยู่เบื้องหลังช่วยเหลือเรื่องการตลาดให้กับอัลบั้มแรกของ Thaitanium ด้วย

หลังจาก Mix Tape Thaitanium 6 อัลบั้ม ผมก็ควักเงินส่วนหนึ่งร่วมกับ Jroc กับ A-Jay ทำอัลบั้ม Thai Hip Hop Compilation โดย A-Jay เป็นคนทำบีททั้งหมด ผมก็เอาเด็ก Mixtape มาร้องในอัลบั้มนี้ เพื่อทำให้เด็ก ๆ มีบีทของตัวเองจริง ๆ ระหว่างนั้นผมทำอัลบั้มเดี่ยวไปด้วยแต่ยังทำไม่เสร็จ ยุคนั้นโปรดิวเซอร์ฮิปฮอปมีไม่กี่คนที่ทำได้ เพราะฉะนั้นกว่าที่ผมจะทำอัลบั้มของตัวเองได้ก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน

เข้าปี 2007 ผมถึงได้ปล่อยอัลบั้มของตัวเองชื่อ "ขอ T" มี 16 เพลง เพลงเด่น ๆ ก็มี "ส่าย Girl" ที่ร้องกับพี่เจ เจตริน พอช่วงปี 2010 กว่าต้น ๆ ผมก็ไปอยู่กับค่ายสหภาพดนตรี ทำอยู่ 4 เพลง เป็นวงชื่อ VIP ทำกับรุ่นน้องผู้หญิงสองคน น้องเขาบอกว่ามีความฝันอยากเป็นศิลปิน ผมเคยได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่มาแล้วก็เลยอยากให้โอกาสกับน้อง ๆ บ้าง

ตอนอยู่กับสหภาพดนตรีผมเชื่อว่าเพลงของผมก็ดีนะ แต่ทางทีพอไม่ได้รับการโปรโมทมันก็ทำให้คนไม่รู้จัก เพลงมันไม่เข้าถึงคน ผมเริ่มเหนื่อยกันการทำงานกับทีม ก็เลยรู้สึกแบบเดี๋ยวค่อยกลับมาทำแล้วกัน หลังออกจากค่ายไม่นาน ผมก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับแร็ปแบทเทิลว่าเริ่มเป็นที่รู้จัก เริ่มค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน

 

T Entertainment

T BMT : หลังออกจากค่ายผมเปิดบริษัทเอเจนซี่ ติดต่อศิลปินหรือดีเจต่างประเทศเข้ามาแสดงที่เมืองไทย ตอนนั้นก็ติดต่อ Boyz II Men บอยกรุ๊ปอันดับหนึ่งของอาร์แอนด์บีมาเล่นคอนเสิร์ตที่ไทยสองครั้ง แล้วก็มีจัดเฟสติวัล EDM กับเพื่อน ๆ พอตอนปี 2018 ผมกลับมาดูวงการฮิปฮอปก็เห็นว่ามันโตขึ้นขนาดนี้เลยหรอ ผมเองก็มีเพลงที่ทำเก็บเอาไว้อยู่แล้ว เลยคิดว่าไหน ๆ เราก็มีเพลงอยู่ ถึงเวลาเอาเพลงเรามาปล่อยแล้ว ที่หยุดไปกลับมาทำได้แล้ว ผมกับเพื่อน ๆ เป็นคนบุกเบิกฮิปฮอปในไทย ตอนนั้นที่เราบุกเบิกมันไม่สนุกแต่เรายังทำได้เลย ตอนนี้มันสนุกกว่าตอนเก่าอีก เพราะฉะนั้นเราจะไม่กลับมาทำหรอ"

Also known as "BMT"

T BMT : BMT เป็น AKA ที่ผมได้มาตั้งแต่ตอนเล่นสเก็ตบอร์ดแล้วครับ ก่อนที่จะมาทำเพลงอีก คือมีเพื่อนผมคนหนึ่ง ถ้าฐานะในวงการ Drum and Bass จะรู้จักเขาในชื่อ DJ Dragon เขาเป็นเพื่อนแก๊งพวกผมมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้ ตอนนั้นผมนึกไม่ออกว่าจะตั้งชื่ออะไรดี เขาก็บอกเนียชื่อ BMT แล้วกัน เขาบอกมันแปลว่า Boy Master T เด็กคนนี้ชื่อทีเป็นมาสเตอร์ประมาณนั้น"

 

HEAVY Studio

T BMT : ผมรู้จักกับเจ้าของ HEAVY ผมเคยร่วมงานกับเขา พอเขาเปิดค่าย HEAVY Studio ก็เลยลองคุยกัน อย่างที่บอกจริง ๆ ผมมีเพลงที่ทำเอาไว้แล้ว ซึ่งเขาก็สนใจเลยได้มาอยู่ค่าย ตอนนี้ปล่อยออกมา 2 ซิงเกิลแล้ว เพลงแรกมีชื่อว่า "Hip Hop" ร้องกับ Debbie Bazoo และ Macho Still High ปล่อยช่วงปลายปีที่แล้ว

ส่วนเพลงที่สองปล่อยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ชื่อเพลง "ห่างแสนไกล" ร้องกับ F.HERO และ Tan Pakdee ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบ เคยทำสมัยขันที และปีนี้ครบรอบ 25-26 ปีของวงด้วย ผมมีความรู้ว่า เห้ยน่าเอากลับมาทำใหม่ให้เด็กสมัยนี้ได้รู้จักได้ฟังมันอีกครั้ง ไม่อยากปล่อยให้หายไปตามกาลเวลา ท่อนฮุคของเพลงนี้แต่งโดย ไก่ สุธี แสงเสรีชน เขาเป็นเจ้าของค่าย Music X ที่ผมอยู่ในตอนนั้น หลังขออนุญาตพี่ไก่ผมก็เอาเพลงนี้ไปคุยกับเอฟู ณรงค์ศักดิ์ ศรีบรรฎาศักดิ์วัชรากรณ์ คนที่ทำเพลง "รักติดไซเรน" สำหรับเวอร์ชั่นใหม่นี้ ในยูทูปมีคนมาคอมเมนต์ประมาณว่าดีใจที่ได้ฟังอีกครั้ง ผมเห็นก็รู้สึกปลื้มที่เขายังจำเพลงนี้ได้

 

รสนิยม ตัวตน และผลงานของศิลปิน

T BMT : รสนิยมมีผลต่อการสร้างงานไหม มีครับ การที่คุณเสพเพลงหลายแนวคุณก็จะได้ไอเดียหลายอย่าง ถ้าคุณเสพอยู่แนวเดียวก็จะได้ไอเดียแค่อย่างเดียว คุณก็จะไม่ได้อะไรใหม่ ๆ เหมือนกินก๋วยเตี๋ยวแล้วไม่ปรุงเลย คุณก็จะได้รสชาตินั้นรสชาติเดียว แต่ถ้าคุณใส่พริกน้ำส้ม ใส่น้ำปลา คุณก็จะได้อีกรสชาติ เพราะฉะนั้นเราต้องฟังเพลงกันมากขึ้น ศึกษา อัพเดท เราจะรู้จักแค่วงการฮิปฮอปอย่างเดียวก็ไม่ได้ คุณต้องรู้ว่าดนตรีของโลกไปถึงไหน เขามีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นคือต้องเปิดกว้างแล้วจะได้อะไรใหม่ ๆ เยอะขึ้น

ฮิปฮอปสำหรับ BMT

T BMT : นิยามของผม ยุคนั้นผมว่าคนที่ชอบเขามีความรัก ทุ่มเท่จริง ๆ ให้กับฮิปฮอป ส่วนในยุคนี้ผมมองว่าบางคนทำเพื่อธุรกิจ เพื่ออยากได้เงิน อยากดัง แค่นั้น ฮิปฮอปยุคนั้นพวกผมทำกันแบบให้ใจให้ชีวิตไปเลย อย่างเช่นพวกผมเดินถือเครื่อง Boombox เปิดเพลงฮิปฮอปในห้างมาบุญครอง คนเขาอาจจะรู้สึกว่านี่มันเพลงอะไรวะ แต่อย่างน้อยก็อยากให้คนทั่วไปรู้ว่านี่คือเพลงฮิปฮอปนะ ตอนทำ Mix Tape Thaitanium พวกผมเอาเด็ก ๆ หน้าใหม่มาร้อง นี่คือสิ่งที่พวกผมทำ ตอนทำ Thai Hip Hop Compilation ผมออกทุนทำทั้งที่ร้องแค่นิดเดียว ที่เหลือแทร็กอื่น ๆ 10 แทร็กผมให้เด็ก Mix Tape ร้อง คือฮิปฮอปมันเหมือนพี่น้อง มีอะไรช่วยกัน สนับสนุนกัน ผลักดันกัน

ฮิปฮอปยุคนี้ผมมองว่ามีส่วนหนึ่งนะ เรียกว่า 50% แล้วกันที่มีความเป็นพี่น้องช่วยเหลือกัน แต่อีก 50% เขาก็มีเรื่องของธุรกิจ เพราะฉะนั้นผมมองว่าคุณชอบฮิปฮอปจริง ๆ ก็รักกัน สนับสนุนกัน ช่วยกันผลักดันให้ฮิปฮอปเราโตขึ้นไปอีกขั้น ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่เงิน เราน่าจะทำอะไรเพื่อสังคมฮิปฮอปบ้าง ไม่ใช่แค่คุณจะทำเพลงฮิปฮอปอย่างเดียว แล้วก็ดัง ได้เงิน ไปเล่นคอนเสิร์ต กลับมาทำเพลงวนไปแบบนี้อย่างเดียวแค่นี้จบ ผมมองว่ามันไม่ใช่ตัวจริง นี่แหละครับมันคือวัฒนธรรม เราต้องให้เกียรติวัฒนธรรมฮิปฮอปด้วย

มองผ่านเลนส์ของ OG

T BMT : เด็กสมัยนี้ต้องยอมรับนะครับว่ามีฝีมือ เด็กสมัยนี้เก่ง ขอโทษนะ เด็กเขาฉลาดกว่าสมัยก่อนแน่นอน เราต้องยอมรับ แต่ยังมีความคึกคะนองอยู่ ผมอยากให้คำแนะนำเด็กรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งว่าอย่าไปทำตามคนที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว อย่าไปทำตามเขาเลย อยากให้ฮิปฮอปมีความเป็นตัวของตัวเอง เหมือนกับผมที่ผมอยากจะทำอะไรผมก็ทำออกมา

ตัวอย่างศิลปินที่เขาดังทำแทรพใส่ออโต้จูน ผมต้องไปทำเพลงเหมือนเขาหรอ ไม่ใช่ ดูตำนานในวงการของฮิปฮอป ดูอย่าง Snoop Dogg หรือ Dr.Dre เขาไม่เห็นต้องทำตามเด็กแร็ปยุคใหม่เลย เพราะฉะนั้นฮิปฮอปใหม่ ๆ ส่วนหนึ่งเรามีฝีมือ อย่าไปก็อปเขา เป็นตัวของตัวเอง ผลงานคุณอาจจะดังระดับเดียวกับเขาก็ได้ใครจะไปรู้

ฮิปฮอปมันไม่ใช่ตามกระแส ฮิปฮอปมันคือไลฟ์สไตล์ คุณจะเป็นฮิปฮอปอะไรก็ได้ ไม่ทำอย่างนี้เรียกว่าฮิปฮอป ทำอย่างอื่นไม่เรียกว่าฮิปฮอป แบบนี้ไม่ใช่

ด้วยความที่ฮิปฮอปมันมีหลายแบบ มันยิ่งทำให้อยากกลับมาทำ มันดูน่าสนุกสำหรับผม ผมเรียกตัวเองว่าเป็นฮิปฮอปวาไรตี้ ผมจะเป็นฮิปฮอปผสมอะไรก็ได้ ผสมอาร์แอนด์บี ผสมป็อป ฮิปฮอปเพียว ๆ ฮิปฮอปแก๊งสเตอร์ก็ได้ เน้นความสนุก เน้นให้คนชอบ เพราะว่าผมกับเพื่อนเคยทำอันเดอร์กราวน์มาแล้ว ผมมีความรู้สึกว่าอันเดอร์กราวน์ทำแป๊ปเดียวมันก็เสร็จแล้ว เขียนด่า ด่าหยาบ ๆ ด่าเจ็บ ๆ เดี๋ยวมันก็เสร็จ การได้มาเขียนเพลงตลาดมันท้าทายมาก แล้วผมก็อยากทำให้เด็ก ๆ ดู หรือคนใหม่ ๆ รู้ว่าฮิปฮอปไม่จำเป็นที่จะไปใส่ออโต้จูน ทุกวันนี้ Snoop Dogg หรือ Dr.Dre ก็ไม่ใช้ออโต้จูน แล้วทำไมเขาเป็นฮิปฮอปล่ะ

คำว่า OG ถ้ามีคนมาเรียกเราว่า OG เราก็ต้องยอมรับ เพราะ OG คือ Original ใช่ไหม หรือบางคนก็เรียกเราตำนาน เรียกเรา Legend อะไรอย่างนี้ อย่างเมื่อไม่นานมานี้บางคนมาเรียกเราเจ้าพ่อฮิปฮอป ผมก็บอกว่าผมไม่ใช่เจ้าพ่อฮิปฮอป ไม่ใช่เจ้าของฮิปฮอป ผมไม่ใช่คนเดียวที่บุกเบิกมา ผมมีเพื่อน ๆ ในแก๊งที่ร่วมบุกเบิกกันมา คือก็ดีใจนะครับอย่างเมื่อ 2019 ผมได้ไปงาน Thailand HIP HOP Festival จัดโดย HEAVY ก็มีน้อง ๆ มาไหว้ นี่พี่ที นี่พี่ BMT พี่คือตำนานอะไรอย่างนี้ ดีใจที่เขายังจำเราได้ มันก็เป็นกำลังใจให้เราอยากกลับมาทำเพลง แล้วผมก็มองว่าเราต้องมีความเคารพกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เรามองข้ามตรงนี้ไม่ได้

Outro : ฝากถึงแฟน

T BMT : ฝากถึงแฟนเก่ายันแฟนใหม่แฟนปัจจุบัน ขอบคุณมาก ๆ เลยที่ยังจำกันได้ ที่ยังฟังเพลงผม ที่ยังติดตามเพลงผม ที่ยังสนับสนุนเพลงผมอยู่ ก็ขอบคุณมาก ๆ ไม่ต้องห่วงคราวนี้ผมกลับมาแล้วก็จะทำเพลงให้ต่อเนื่อง ที่ผ่าน ๆ มาผมทำแล้วก็หยุด หยุดไปสามสี่ปีแล้วค่อยกลับมาทำใหม่ คราวนี้ผมจะไม่หยุดแล้ว ส่วนชอบไม่ชอบ ถ้าชอบก็ขอบคุณมาก จะให้กำลังใจกันก็ยินดีครับ ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร ต่างคนต่างอยู่ บางทีการไปเขียนอะไรที่ไม่มีเหตุผลเลยมันก็ทำให้ศิลปินโกรธเหมือนกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน จริง ๆ ผมก็จะมีเพลงที่ได้ทำกับโปรดิวเซอร์ระดับโลก ถึงเวลาก็จะปล่อยออกมา อย่างเพลงนี้ผมก็มองว่ามันไม่ใช่ง่าย ๆ ใครจะไปทำกับเขาได้ เพราะฉะนั้นผมทำมาอย่างน้อยมันก็เป็นโปรไฟล์กับผมกับวงการฮิปฮอปไทย อย่างน้อยประเทศไทยในสาขาฮิปฮอปก็ไม่น้อยหน้าใครครับ

Follow Him
Facebook : BMT
Youtube : BMT
Instagram : t_bmt9

Photo : Satchaphon Rungwichitsin

T BMT : OGs Comeback กลับมาแร็ปให้เด็กมันดู