"คราวนี้ถึงทีของฉันบ้าง" เจาะลึก 4 คาแรกเตอร์สุดอัศจรรย์ ใน "Wonder Woman 1984"

"คราวนี้ถึงทีของฉันบ้าง" เจาะลึก 4 คาแรกเตอร์สุดอัศจรรย์ ใน "Wonder Woman 1984"

เดินหน้าไปอย่างรวดเร็วสู่ยุค 1980 เมื่อการผจญภัยของ วันเดอร์วูแมน บนจอยักษ์ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับศัตรูหน้าใหม่ที่ร้ายกาจถึง 2 รายอย่าง แม็กซ์ ลอร์ด และ เดอะชีตาห์ ใน "Wonder Woman 1984"

ผลงานจากผู้กำกับฯ แพทตี้ เจนคินส์ นำแสดงโดย กัล กาโดต์ ภาพยนตร์เรื่อง “Wonder Woman 1984”  ก้าวสู่อนาคตยุค 1980 อย่างรวดเร็ว เมื่อการผจญภัยบนจอยักษ์ต่อไปของวันเดอร์วูแมนจะได้เห็นเธอเดินทางด้วยสายฟ้าข้ามขอบฟ้า มีปีกเกราะสีทอง และล่าความฝันระหว่างไล่ตามศัตรูหน้าใหม่ที่ยากจะจัดการอย่าง แม็กซ์ ลอร์ด และ เดอะ ชีตาห์

ในเรื่อง “Wonder Woman 1984” ชะตากรรมของโลกอยู่บนเส้นด้ายอีกครั้ง และมีเพียงวันเดอร์วูแมนที่จะช่วยได้ เราจะได้เห็น ไดอาน่า ปรินซ์ ใช้ชีวิตเรียบง่ายทามกลางมนุษย์ในยุค 1980 ที่เต็มไปด้วยสีสัน เป็นยุคที่มีการไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาทุกอย่าง แม้ว่าเธอจะมีพลังอย่างเต็มเปี่ยม แต่ก็ยังเลือกที่จะเก็บตัวเงียบ คอยดูแลพวกวัตถุโบราณ และซ่อนความเป็นซูเปอร์ฮีโร่เอาไว้ แต่ตอนนี้ไดอาน่าจะต้องก้าวสู่การเป็นจุดสนใจ และต้องใช้ความฉลาด ความแข็งแกร่ง และความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องมนุษย์จากโลกที่พวกเขาสร้างขึ้นมา

"โลกใบนี้ยังไม่พร้อมสำหรับสิ่งที่เธอจะทำ" ฮิพโพไลทา

คำทำนายที่กล่าวไว้กับไดอาน่าตอนเป็นเด็กของ ฮิพโพไลทา ราชินีแห่งอเมซอนและผู้เป็นแม่ที่ฉลาดและเห็นทุกอย่างมาแล้ว เธอได้พูดไว้เมื่อนานมาแล้วก่อนเจ้าหญิงน้อยจะนึกภาพมวลมนุษย์ออก... หรือหมายถึงปี 1984

ในช่วงแรกของเรื่องไดอาน่าอยากพิสูจน์ตัวเองให้แม่และ แอนทิโอเป้ น้าของเธอผู้เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งลุ่มน้ำอเมซอนรวมถึงทั่วเธอมีสคีร่า แม้ว่าเธอจะยังเด็ก แต่ความมุ่งมั่นคงเธอไม่เป็นรองใคร เธอยืนหยัด (และวิ่ง ปีนป่าย ทำอะไรอีกหลายอย่าง) ที่จะเป็นที่สุดแห่งอเมซอนเกมส์ แต่ถึงแม้เธอจะมีความกล้าหาญและมีทักษะต่างๆ ที่น่าประทับใจแล้ว เธอก็ยังคงหาคำตอบว่าชัยชนะมีความหมายอย่างไร และนั่นเธอต้องเรียนรู้จากคนที่อายุมากกว่า

โลกอีกใบหนึ่งและชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อไดอาน่าโตขึ้นจะต้องเรียนรู้ว่าชัยชนะที่แท้จริงเป็นแบบไหน และเธอคือคนที่ต้องหาคำตอบนั้นให้ได้ในท้ายที่สุด

วอชิงตัน ดีซี ปี 1984 ไดอาน่า ปรินซ์ ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ท่ามกลางมนุษย์ ทำงานในตำแหน่งนักมานุษยวิทยาและนักโบราณคดี เธอต้องดูแลวัตถุโบราณที่สมิธโซเนียน เธอไม่ได้เดินบนเส้นทางของซูเปอร์ฮีโร่อีกต่อไป ตอนนี้เธอควบคุมพลังได้อย่างเต็มที่แต่ต้องเก็บตัวเงียบๆ

"ฉันรู้สึกว่าเราปูทางตัวละครในภาคแรกและเล่าถึงพัฒนาการของเธอไว้ได้ดีมาก ไดอาน่ากลายเป็นวันเดอร์วูแมนได้อย่างไร และตอนนี้ถึงเวลาที่ตัวละครจะต้องโตขึ้นแล้ว เธอเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนบ้างหลังจากที่ได้เจอกันครั้งสุดท้าย" กัล กาโดต์กล่าว "ไดอาน่าอยู่บนโลกใบนี้มานานแล้ว ตอนนี้เธอไม่ไร้เดียงสาอีกต่อไป แต่กลับมีความเหงา มันยากที่เธอจะลืมอดีต เธอยึดติดอยู่กับมันผ่านการทำงาน และยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเธอ แม้ว่าเธอจะดูกลมกลืนกับโลกที่อยู่รอบตัวเธอ แต่เธอไม่รู้สึกแบบนั้นเลย แม้ในฐานะของวันเดอร์วูแมน เธอก็ต้องหลบอยู่ในเงามืด นั่นคือสิ่งที่น่าสนใจในการรับบทของฉันค่ะ และฉันตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาหาตัวละครนี้ เพราะเธอมีความลึกซึ้งและซับซ้อน ขณะเดียวกันก็มีความน่าสนใจมาก เราจะได้เห็นเธอผ่านเรื่องราวที่มีความลึกซึ้งที่เข้าใจได้ง่ายในเรื่องนี้ค่ะ"

แพทตี้ เจนคินส์ ไม่ได้ตื่นเต้นแค่การกำกับฯ กาโดต์บนหน้าจอ แต่รวมถึงการร่วมงานกับเธอในฐานะผู้สร้างฯ ด้วย "ตั้งแต่แรกเรามีการแชร์มุมมองของหนังและตัวละครกัน เราช่วยเหลือกันหลายเรื่องมากค่ะ" เธอกล่าว "แต่คราวนี้เธอมีส่วนร่วมตลอดช่วงหลังการถ่ายทำจนถึงขั้นตอนสุดท้ายด้วย เธอจะคอยให้ไอเดียดีๆ และมุมมองต่างๆ ที่เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ เธอเห็นภาพโดยรวมในฐานะของผู้สร้างฯ อย่างชัดเจนเหมือนที่เธอเห็นเรื่องราวทั้งหมดในมุมของนักแสดงเลยค่ะ"

กาโดต์กล่าวย้ำว่าเรื่องราวที่สะท้อนอารมณ์ของวันเดอร์วูแมนจะถ่ายทอดออกมาให้เห็นอย่างเข้มข้น และมีฉากแอ็คชั่นน่าตื่นเต้นในแบบที่แฟนๆ คาดหวังได้จากหนังซูเปอร์ฮีโร่ "ฉากต่อสู้เป็นสิ่งสำคัญในการเดินทางของเธอ และสำคัญต่อเนื้อเรื่องของเรามากค่ะ ไม่ใช่แค่เพราะเรารักการเห็นเธอสู้กับพวกวายร้าย" เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "เราได้เห็นไดอาน่าโชว์ฝีมืออันยอดเยี่ยมมาแล้ว นักรบแห่งอเมซอนผู้นี้ทำได้ทุกสิ่ง ทั้งการต่อสู้ ปกป้องผู้คน และยังมีความมหัศจรรย์ที่ฉันยังเปิดเผยไม่ได้.. ไม่อยากสปอยล์อะไรออกมาค่ะ แต่ความเข้มแข็งที่อยู่ในตัวเธอจะได้ใช้ในคราวนี้ ซึ่งแน่นอนว่าการเดิมพันต้องสูงขึ้นกว่าเดิม"

"ทำหน้าเหมือนเจอผีงั้นแหละ" สตีฟ เทรวอร์

ในเรื่อง "Wonder Woman 1984" ได้อาน่าได้กลับมาพบกับสตีฟ เทรวอร์ คนที่เธอรักที่สุดในชีวิต ซึ่งเขาจากเธอไปเกือบ 70 ปีแล้ว แต่สตีฟยังไม่เคยพบการเปลี่ยนแปลงบนโลกในแบบที่เธอเจอ และตอนที่เขากลับมาอยู่ในชีวิตเธออีกครั้ง เขารู้สึกหลงใหลไปกับทุกสิ่งที่เขาเห็น โดยที่ไม่ทันตั้งตัวเลยว่าเขาย้อนกลับมาได้อย่างไรหลังจากเวลาผ่านไปเกือบ 7 ทศวรรษแล้ว แต่อย่างไรก็ตามความรู้สึกที่เขามีต่อไดอาน่ายังคงชัดเจน ไม่ต่างจากความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขา จากนั้นความเศร้าที่เธอมีก็ได้จางหายไป

ไพน์เล่าให้ฟังว่า "ผมรู้สึกดีใจมากในการกลับมา และครั้งนี้มันมีความแปลกใหม่ เหมือนตอนที่กัลป์แสดงหนังเรื่องแรก ในภาคนี้สตีฟจะเป็นฝ่ายได้ทำความรู้จักจักรวาลใหม่ที่กว้างใหญ่มหาศาลเป็นครั้งแรก มันสนุกดีครับที่ได้เล่นบทาทนั้น เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่... หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการได้เห็นการวางแผนใช้พลังอย่างน่ากลัว ต้องต่อสู้เพื่อการปกครองและความรุนแรงที่เกิดขึ้น ครั้งนี้ผมต้องทำเหมือนหวาดกลัวและเบื่อหน่ายหลายสิ่งบนโลก เหมือนกับมาถึงจุดสูงสุดแล้ว"

"เวลาที่เราคิดถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกจากปี 1918 มาจนถึงปี 1984" ผู้สร้างฯ ชาร์ลส โรเวนกล่าว "จากนั้นคิดภาพว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรในแง่ของเทคโนโลยี มันก็ทำให้เรารู้สึกงงได้เหมือนกัน ฉะนั้นมุมมองของสตีฟในหนังก็เหมือนกับเรา ซึ่งนอกจากการเป็นนักแสดงที่มีฝีมือน่าทึ่งแล้ว คริสยังมีเซนส์การเล่นมุกและทำให้เรารู้สึกงงได้อย่างน่าตื่นเต้นมาก"

คริส ไพน์ รู้สึกดีใจที่ได้กลับมาร่วมงานกับทีมผู้สร้างฯ ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงการพบกาโดต์อีกครั้งด้วย "มันเหมือนการได้กลับบ้านอีกครั้ง ได้ร่วมงานกับคนที่เราชื่นชอบมาก และผมได้เรียนรู้จากที่ผ่านมาว่าเคมีคือเรื่องที่ยากจะสร้างขึ้นมาหลอกๆ ได้ มันเลยเป็นเรื่องดีมากที่ผมได้มาร่วมงานในที่ๆ ผมมีความรู้สึกดีๆ อยู่แล้ว กัลป์เป็นคนที่ใจกว้างมาก เธอมอบความอบอุ่นและรอยยิ้มของเธอเหมือนแสงสว่างที่ส่องประกายทั้งห้อง สิ่งที่ดีที่สุดคือเรามีความสุขและดหัวเราะ นั่นคือสิ่งที่ผมรักในการทำงานร่วมกับแพทตี้และกัลครับ"

นักแสดงชายรู้สึกชื่นชมในความแข็งแกร่งทั้งภายนอกและภายในของตัวละครกาโดต์ เขาเล่าว่า "ถ้าเราพูดถึงเรื่องความฉลาดและความแข็งแกร่งใดๆ ก็ตาม ไดอาน่าแทบไม่ต้องการผู้ชายหรือความรักเลย สำหรับเธอมันเหมือนทางเลือก การตกหลุมรักคือของขวัญที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต การมีใครสักคนให้รักไม่นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ในชีวิตหรอ?"

น่าเสียดายที่การกลับมาพบกันระหว่างอยู่ท่ามกลางช่วงที่โลกมีแต่เรื่องเลวร้าย สำหรับไพน์นั่นหมายถึงฉากที่เต็มไปด้วยการต่อสู้และฉากแอ็คชั่น แม้เขาจะยอมรับว่าวันเดอร์วูแมนคือคนที่ต้องยกของที่หนักที่สุด (และมีการเตะ ขว้างข้าวของ...) "ผมต้องหกล้มคลุกคลานและได้ต่อยคน เป็นอะไรที่สนุกดีครับ" เขากล่าว "ปกติการแสดงอะไรแบบนั้นผมต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก แต่กลับต้องเป็นกัลป์ที่แสดงฉากผาดโผนกันอย่างติดต่อกัน ต้องอยู่บนลวดสลิงและโดนเหวี่ยงไปมา ส่วนผมแค่แสดงอะไรเหมือนอินเดียนา โจนส์ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมชอบมากครับ"

"นอกจากเรื่องการใช้แรงจนหมดพลัง การทุ่มเทอย่างหนัก และต้องถ่ายทำเป็นเวลานานนับ 7 เดือนครึ่ง ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องทำค่ะ" กาโดต์ยิ้ม "การรับบทนี้ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของฉัน” แทบจะเรียกได้ว่าจากการเป็นนักแสดงทั้งหมดเลยค่ะ "ถือเป็นโบนัสที่ได้มารับบทตัวละครที่มีแฟนๆ หลายคนทั่วโลกหลงรัก และได้ร่วมงานกับคริสอีกครั้ง เขาเป็นผู้ร่วมงานที่ดีมากค่ะ เราคงสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ถ้าไม่มีเขา! เรารู้สึกว่าเราปล่อยเขาไปไม่ได้ และฉันตื่นเต้นมากที่ผู้เขียนบทฯ ตั้งใจสร้างความแปลกใหม่ด้วยการนำเขากลับมา เหมือนที่เธอช่วยให้สตีฟมองเห็นทุกอย่างผ่านมุมมองใหม่ในหนังภาคแรก ในภาคนี้เขาก็จะช่วยให้ไดอาน่าได้เห็นมุมที่แตกต่างบ้างค่ะ"

"ฉันรักเวลาพวกเขาอยู่ด้วยกันค่ะ ไม่ใช่แค่ในบทสตีฟแลไดอาน่า แต่รวมถึงตัวตนของคริสและกัลด้วย" เจนคินส์อธิบาย "ฉันรักวิธีการทำงานร่วมกันของพวกเขา เพราะพวกเขามีพลังที่ดีและน่าตื่นเต้นส่งถึงกัน และพวกเขาก็ดูมีความสดใสตลอดเวลาด้วยค่ะ ความสัมพันธ์นั้นเราจะเห็นบนหน้าจอที่ดูสมจริงมากคะ ทั้งคู่มีความฉลาด สนุกสนาน และเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะร่วมกันค่ะ"

ไพน์อธิบายว่า "แพทตี้และกัลเป็นคู่หูที่ดูดีมาก สิ่งที่ผมรักที่สุดในตัวแพทตี้คือผมไว้วางใจเธอในฐานะของผู้กำกับฯ ได้ เธอเหมือนผู้กำกับนักแสดงตัวจริง นักแสดงบางคนจะมีจินตนาการตัวละครอย่างเต็มที่ ส่วนคนอื่นอย่างผมเลือกที่จะแชร์ส่วนนั้นและพูดคุยกับผู้กำกับฯ และเธอก็ชอบอะไรแนวนั้นมาก แพทตี้สามารถคุยเรื่องไฟกับ แม็ตต์ เจนเซน และเรื่องสีกับ ลินดี้ เฮมมิง ได้ จากนั้นสามารถคุยเรืองการแสดงกับพวกเราได้อย่างน่าทึ่ง นั่นคือสิ่งที่ผมรักในตัวเธอครับ มันเหมือนความมีศิลปะ ต้องใช้พลังอย่างเต็มที่ และต้องมีพลังอย่างแรงกล้า แต่แพทตี้ดูไม่เคยหมดแรงเลย เธอสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง"

ในหนังแม้ว่าสตีฟจะกลับมาหาเธอ แต่ไดอาน่าก็ต้องใช้ความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ และความเมตตาทั้งหมดที่เธอมีต่อสู้กับเพื่อนผู้กลายเป็นศัตรูอย่าง เดอะ ชีตาห์

"เธอได้ทุกอย่างเสมอ ขณะที่คนอย่างฉันไม่เคยได้อะไรเลย คราวนี้ถึงทีของฉันบ้าง" บาร์บารา มิเนอร์วา

แม้ว่าส่วนใหญ่เธอจะเก็บตัวเงียบๆ แต่ไดอาน่าก็เป็นมิตรกับผู้ร่วมงานคนใหม่ในพิพิธภัณฑ์ บาร์บารา ไมเนอร์วา ตัวละครที่โผล่ใหนังสือการ์ตูนครั้งแรกโดย เล็น เวน และ จอร์จ เปเรซ ในเรื่องนี้บาร์บาราเป็นนักธรณีวิทยา/นักวิชาการ (บวกกับการเป็นผู้จัดรายการที่มีความชำนาญอีกหลายด้าน) ที่เข้าสังคมไม่เก่งแต่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แถมเธอยังชอบสังเกตเพื่อนร่วมงานคนใหม่อีกด้วย  เพราะเธอรู้สึกเหมือนคนไม่มีตัวตน แม้ว่าระดับความฉลาดของเธออยู่ในระดับนักวิทยาศาสตร์หลายด้าน แต่ไม่มีใครสนใจเธอขนาดนั้น ขณะที่การทำงานร่วมกับไดอาน่า เธอกลับไม่ใช่ฝ่ายได้รับความสนใจจากทุกที่ๆ เดินทางไป

คริสเทน วิก มารับบทบาร์บาราและเดอะ ชีตาห์ วายร้ายจาก DC ที่แฟนๆ ชื่นชอบ ตัวละครนี้สร้างขึ้นโดยผู้สร้างวันเดอร์ วูแมน วิลเลียม โมลตอง มาร์สตัน ที่มาอยู่บนจอยักษ์เป็นครั้งแรก "บาร์บารา ไมเนอร์วาเป็นผู้หญิงที่เราพบเจอทั่วไป แต่เธออยากเป็นอะไรมากกว่านั้นเสมอ อยากมีเพื่อน มีความรัก..." เธอกล่าว "แม้ว่าเธอจะฉลาดมาก แต่กลับไม่รู้สึกอุ่นใจ และไม่ชอบตัวเองสักเท่าไหร่ เธอเลยพยายามมากขึ้น ซึ่งยิ่งเป็นการทำอะไรให้แย่ลง เวลาที่เธอเห็นไดอาน่าและทุกสิ่งที่เธอมี ทั้งความสวย ความทันสมัย ความมั่นใจ และความแกร่ง เธออยากมีแบบนั้นบ้าง เธออยากเป็นแบบนั้นบ้าง"

ครั้งแรกเหมือนถนนที่ขนานกัน วิกยืนยันว่า "ฉันคิดว่าไดอาน่าเห็นบางอย่างในตัวบาร์บาราที่เธอขาดหายไปในชีวิต บาร์บาราเป็นคนใจกว้าง อยากเป็นส่วนหนึ่งในสังคม เพราะไดอาน่าเองก็มีความอ้างว้างมากเหมือนกัน ฉันคิดว่าพวกเธอเข้าใจกันได้เป็นอย่างดีค่ะ"

วิกและกาโดต์เข้ากันได้ดีโดยทันที "เราเข้ากันได้ดีมากค่ะ มากจนทีมงานพากันตกใจ" วิกกล่าว "เพราะเราทั้งร้องเพลงและหัวเราะกันตลอดเวลา เรามีอารมณ์ขันคล้ายกัน และรู้สึกว่าเข้ากันได้ทันทีเลยค่ะ กัลเป็นทั้งผู้ร่วมฉากและเพื่อนที่ดี ฉันรักการทำงานร่วมกับเธอมากค่ะ"

กาโดต์เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เธอเล่าว่า "ฉันรักคริสเทน วิก! เธอเป็นนักแสดง ดารา นักแสดงตลกที่มีความสามารถมาก เธอสร้างสีสันและความซับซ้อนให้บาร์บาราและชีตาห์ได้มากค่ะ ความน่าทึ่งที่สุดจากการร่วมงานกับเธอคือการปรับเปลี่ยนความสามารถของเธอ นาทีนึงเธอดูอ่อนแอและขี้อาย จากนั้นพอเธอมาสวมบทชีตาห์ พอมองเข้าไปในตาของเธอก็ไมเจอคริสเทนแล้ว กลายเป็นอีกคนไปเลยค่ะ เธอเก่งมากเลย"

"ฉันเป็นซูเปอร์แฟนผลงานของคริสเทนค่ะ" เจนคินส์กล่าวเสริม "เธอมีความพิเศษสุดๆ ทุกตัวละครเธอจะเข้าถึงอย่างลึกซึ้ง แม้วาผลลัพธ์ที่ได้จะน่าตลกก็ตาม ฉันไม่แปลกใจเลยค่ะที่รู้มาว่าเธอเริ่มต้นจากการเป็นนักแสดง ไม่ใช่นักแสดงตลก เพราะฉันเห็นมาตลอดว่าเธอมีจุดเด่นในตัวขนาดไหน"

ต้องขอบคุณในสิ่งประดิษฐ์ลึกลับที่เธอขอให้ใช้ระบุ กรงเล็บของบาร์บาราเริ่มออกมาเมื่อเธอค่อยๆ เปลี่ยนจากเพื่อนหน้าใหม่สู่ศัตรูตัวร้าย บาร์บารามีความเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนจากภายในไม่ต่างจากข้างนอก เมื่อเธอมีความขี้หงุดหงิดมากขึ้น ความโกรธที่อัดแน่นมานานหลายปี และความแค้นที่อยู่ภายในทำให้เธอว่องไวและแข็งแรงขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เหมือนเธอพัฒนาจากการเป็นเหยื่อสู่ผู้อยู่รอดและผู้ล่าในที่สุด

วิกเล่าว่า "การเปลี่ยนแปลงของบาร์บาราเกิดขึ้นทั้งในความรู้สึกและร่างกาย จากที่เธอดูเชยมาก เธอเริ่มสวมเสื้อผ้าที่ดูพอดีตัวมากขึ้น ทรงผมของเธอค่อยๆ เปลี่ยนไป มีการแต่งหน้า พอเธอเห็นว่าทุกคนกำลังจับตาดูเธอ เธอรู้สึกมีความสุขมาก ความมั่นใจของเธอเปลี่ยนแปลงไปและเธอเริ่มกลายเป็นคนที่เธอคิดว่าจะทำให้ตัวเองมีความสุขได้"

เมื่อเธอค้นพบตัวเอง บาร์บารายิ่งได้ความมั่นใจมากขึ้นจากผู้ที่สนับสนุนพิพิธภัณฑ์รายใหม่ จากความสนใจเรื่องอัญมณีที่หาได้ยาก...

"ทุกสิ่งที่คุณต้องการ ทุกสิ่งที่คุณฝันเอาไว้ คุณจะได้รับมัน" แม็กซ์เวลล์ ลอร์ด

อีกคนหนึ่งที่จะกลายเป็นศัตรูคนสำคัญของไดอาน่าคือแม็กเวลล์ ลอร์ด ตัวละครในการ์ตูนของ คีธ กิฟเฟน, เจ.เอ็ม. เดอแมททีส และ เควิน แม็คไกวร์ ในเรื่องนี้ลอร์เป็นเจ้าของ Black Gold International แต่เหมือนพนักงานขายน้ำมันที่สวมเสื้อผ้าขนแกะราคราแพงมากกว่า เขามีคำมั่นที่ไม่อาจต้านทานได้ว่า "คุณจะได้ทุกอย่างมาครอบครอง" แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง และมีความต้องการไม่รู้จบ

เปโดร ปาสคัล มารับบทพ่อค้าที่คนยุค 1980 จะรู้สึกคุ้นเคยดี "แม็กซ์เหมือนกอร์ดอน เก็คโคมาก แค่ไม่มีความเนี๊ยบ ผมบอกได้แบบนั้น ตอนที่แพทตี้กับผมคุยถึงเรื่องนี้ เราคิดว่านั่นคือลุคที่ใช่ที่สุด เว้นแค่เขาไม่เท่ และผมคิดว่าดูดีกว่าเยอะเลยสำหรับผม!" เขาหัวเราะ

เป็นครั้งแรกที่ลอร์ดปรากฏตัวในหนัง ปาสคัลกล่าว "แม้ว่าจะดูน่าตลกที่เขาขายความฝันของชาวอเมริกันเรื่องความร่ำรวย ด้วยการโน้มน้าวในเราเข้ามามีส่วนร่วมลงทุนกับเขาในธุรกิจน้ำมัน ปัญหาคือเขายังขุดหามันอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าเขายังไม่เปิดเผยเรื่องนี้ในที่สาธารณะ"

ต่างจากจอมวางแผนในอดีตอย่างพอนซีชื่อดัง ปาสคัลได้พูดถึงลอร์ดว่า “เขาไม่ได้ตั้งใจจะมีลูกเล่นอะไร แค่เขายังไม่เจอน้ำมันในแหล่งที่เขามองหา  ตอนนี้เขากลายเป็นคนสิ้นหวังแล้ว

"ความน่าสนใจในตัวแม็กซ์" เขาเล่าต่อว่า "คือเขาเป็นคนที่ดูเข้าใจง่ายว่าเขาหย่าร้าง มีลูกคนหนึ่ง เขาไม่อยากให้ลูกมองว่าตัวเองขี้แพ้ เขาเชื่อว่าความสำเร็จคือการมีอำนาจ ร่ำรวย และให้ลูกได้ทุกอย่างในสิ่งที่เขาใฝ่ฝันอยากจะมี มันเป็นไลฟ์สไตล์ที่ต้องทุ่มทุนมาก แต่ก็มีบางอย่างที่พวกเราจะเข้าใจเขาได้นะครับ เขาจะทุ่มความสำคัญให้ตัวเอง โลก และลูกชายของเขาได้ไกลแค่ไหน เมื่อเขาต้องกลายเป็นสิ่งที่เรารู้จักกันดีในร่างของตัวร้ายฝั่งดีซี"

แม้จะเป็นหนึ่งในวายร้ายที่สุดแต่ก็อาจจะมีเหตุผลดีๆ ซ่อนอยู่ในเรื่องของร่างกาย ปาสคัลกล่าวว่า "สิ่งที่ผมรักที่สุดเกี่ยวกับแม็กซ์ ลอร์ดคือเขาไม่ใช่นักสู้ เสื้อของเขาไม่หลุดลุ่ยเลย เขาไม่เคยมีท่าทีอะไรแบบนั้น ผมกินอะไรก็ได้ที่ผมอยากกิน และมีความสุขกับมันเสมอ เพราะตัวละครของผมไม่ต้องรูปร่างดีและมีทักษะการต่อสู้อะไร"

ไม่ใช่ว่าแม็กซ์ไม่เคยระเบิดอารมณ์ในเรื่อง เขาทำแล้ว มีตอนหนึ่งในหนังที่ปาสคัลจำได้ว่า “เราอยู่ตรงทางเดินในทำเนียบขาว ผมพยายามเหยียบเท้าคริส ไพน์ ส่วนอีกห้องหนึ่งก็มีคริสเทน วิกกำลังเหวี่ยงกัลป์ กาโดไปที่เสาจนแตกเป็นเสี่ยง”

ปาสคัลก็มีหลายฉากที่ต้องร่วมแสดงกับทั้งสองสาว โดยเฉพาะกับวิกก "ผมรักมิตรภาพระหว่างแม็กซ์ ลอร์ดและบาร์บารา ไมเนอร์วา แทนที่เขาจะจัดการทุกอย่างเอง หิวกระหายอำนาจ มองทุกอย่างเพียงด้านเดียว แต่กลับน่าสนใจที่ได้เห็นเขาชื่นชอบในตัวเธอ และนี่คือจุดที่พวกเขาได้พัฒนาความสัมพันธ์ร่วมกัน เหมือนกับคู่หูอาชญากร"

"เราสนุกกว่าที่เควรจะเป็นค่ะ" วิกเล่าต่อว่า "เขาแสดงอย่างเต็มที่และเราก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี การร่วมงานกับเปโดรเป็นเรื่องง่ายมาก เราหัวเราะกันไม่หยุด แต่ขณะเดียวกันเราก็เข้าฉากกันได้อย่างดุเดือด และเขาก็เป็นคนที่น่ามองด้วยค่ะ"

"เปโดร ปาสคัลเป็นนักแสดงที่น่าทึ่งมาก" เจนคินส์กล่าว "ฉันรักตั้งแต่เริ่มแรกที่เขาต้องเป็นวายร้ายในอีกรูปแบบ เป็นวายร้ายที่ทำเรื่องแย่ๆ แต่มาจากเหตุผลที่เข้าใจได้ ในฉากเขาทำให้ฉันทึ่งไปเลยค่ะ ได้เห็นอะไรหลายอย่างจากการแสดงของเขาที่มีความแตกต่าง ซับซ้อน และน่าประทับใจ"

"วันหนึ่งเธอจะได้เป็นทุกอย่างแบบที่ฝันเอาไว้และมากกว่านั้น" ฮิพโพไลทา

เฉพาะฉากเปิดตัวของหนัง มีการถ่ายทำฉาก Amazon Games กันที่เทอมีสคีร่า เจนคินส์ต้องอาศัยความร่วมมือจากนักแสดงหญิงที่เลือกไว้ 242 คน นักแสดงผาดโผน นักกีฬาและนักขี่ม้าจากทั่วโลกเพื่อมารับบทชาวอเมซอน ซึ่งเมื่อผ่านการคัดเลือกแล้วทุกคนต้องผ่านการฝึกซ้อมอย่างแม่นยำ นอกจากนั้นในหนังยงใช้นักแสดงผาดโผนหญิง 38 คนเข้าฉากการต่อสู้และฉากแอ็คชั่นที่ได้รับการออกแบบท่าทางผ่านผู้ควบคุมการแสดงผาดโผน ร็อบ อินช์ และทีมงานของเขา

ฉากของเกมส์มีนักแสดง โรบิน ไรท์ และ คอนนี่ นีลสัน กลับมารับบทแอนทิโอเป้และฮิพโพไทลาตามลำดบ รวมถึง ลิลลี่ แอสเพล ที่กลับมารับบทไดอาน่าตอนเป็นเด็กด้วย แอสเพลเป็นนักแข่งผู้ชำนาญที่ขี่ม้าเก่ง ซึ่งเวลาต้องตัดสินใจเรื่องความปลอดภัยหรือมีการใช้อุปกรณ์สเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ เธอสามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความปลอดภัยเลย สำหรับฉากการแข่งขันอื่น แอสเพลได้ผ่านการฝึกการแสดงบนลวดสลิง และมีการฝึกการว่ายน้ำและการวิ่งทางไกลของเธออย่างเหมาะสม แม้ว่าอินช์จะเล่าว่าตอนแรกเธอไม่กลัวอะไรเลยเมื่อต้องอยู่บนหลังม้า แต่เมื่อเวลาผ่านไป 20 นาที ความท้าทายใหม่ๆ ก็ได้กลายเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกชื่นชอบขึ้นมา

จากเจ้าหญิงแห่งอเมซอนผู้ไร้เดียงสาและเด็ดเดี่ยวสู่นักรบชื่อดัง เจนคินส์เล่าว่า "ฉันสงสารตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ค่ะ  ในแง่ของสิ่งที่พวกเขาไขว่คว้า เพราะมันมาจากความรู้สึกที่ขาดหายไปในชีวิตพวกเขา ซึ่งฉันคิดว่าพวกเราเข้าใจมันได้ดี ฉะนั้นซูเปอร์ฮีโร่ของเราจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องศีลธรรมที่อยู่ในเรื่อง และฉันรักความท้าทายของทั้งวันเดอร์วูแมนและการได้เห็นกัล วันเดอร์วูแมนของเราอยู๋ท่ามกลางนักแสดงคนอื่นอย่างคริส เปโดร คริสเทน... นักแสดงทุกคนที่เรามีถ่ายทอดบทบาทออกมาได้อย่างสมจริงมากค่ะ เราสัมผัสได้และเข้าใจเหตุผลของทุกคนในเรื่องเวลาที่เราเห็นตัวเราอยู่ในนั้น แม้ว่าเราจะดูพวกเขาทำอะไรที่มีแค่ในหนังอย่างการใช้บ่วงสายฟ้าก็ตาม!"

Wonder Woman 1984 ยุคใหม่แห่งความมหัศจรรย์กำลังจะเริ่มขึ้นพร้อมกัน วันนี้ในโรงภาพยนตร์ระบบปกติ, 4DXMX4D, Screen X และตระการตาบนจอยักษ์ IMAX

 

"คราวนี้ถึงทีของฉันบ้าง" เจาะลึก 4 คาแรกเตอร์สุดอัศจรรย์ ใน "Wonder Woman 1984"