คงเดช จาตุรันต์รัศมี

คงเดช จาตุรันต์รัศมี

ปรากฏการณ์หนังนอกกระแสในบ้านเรายังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากภาพยนตร์หลายเรื่องที่ไปคว้ารางวัลมาการันตีคุณภาพทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ หากเอ่ยถึงผู้กำกับหนังนอกกระแสในประเทศไทย อย่าง “คงเดช จาตุรันต์รัศมี” หรือพี่เล็ก คงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะนอกจากฝีมือการกำกับภาพยนตร์แล้ว เขายังเป็นมือเขียนบทชั้นดี นักแต่งเพลง รวมถึงนักร้องในนามวงสี่เต่าเธออีกด้วย

“วันหนึ่งได้มีโอกาสดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วมัน Work กับใจเรามาก ก็เลยเกิดตั้งคำถามว่า ใคร? อาชีพอะไร? ที่ทำให้เรารู้สึกขนาดนี้ได้ เพราะก่อนหน้านั้นเราก็ดูหนังแบบคนทั่วไป ทั้ง สนุก แฮปปี้ กลัว อะไรไปกับมัน ก็เลยรู้สึกว่าอยากจะเรียน อยากจะทำหนัง มาตั้งแต่ ม.3 แล้วก็เอ็นทรานซ์ติดที่ภาควิชานิเทศศิลป์ สาขาวิชาภาพยนตร์และดิจิทัล มีเดีย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

“ตอนเรียนที่ลาดกระบัง ก็มีวงดนตรีที่ลาดกระบัง แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะทำเป็นอาชีพ จนกระทั่งเรียนจบ ช่วงทำหนัง Thesis เราก็ไปเจอเพื่อนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันก็เป็นวงสี่เต่าเธอ เพราะรสนิยมทางดนตรีเหมือนกัน ก็เลยมารวมตัวกัน ตอนนั้นมันถือเป็นช่วงจังหวะที่ดีเลยก็ว่าได้ เพราะว่าเป็นช่วงที่สังคมต้องการทางเลือกใหม่ทางดนตรี เราก็เลยเป็น
กลุ่มดนตรีวงแรก ๆ ที่ได้มีโอกาสทำแนวเพลงทางเลือกอย่างแนวอัลเทอร์เนทีฟ “พอจบมาก็เลยเริ่มเขียนบทในส่วนของ MV เพลงให้กับนักร้องดังในยุคนั้นหลายคนจนในที่สุดก็ได้มีโอกาสทำหนังเรื่องแรกคือเรื่อง “สยิว” หลังจากนั้นเส้นทาง ทางด้านภาพยนตร์มันก็ต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ ทั้งในด้านกำกับและเขียนบท โดยหนังแต่ละเรื่องก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าปี เพราะว่าเราเป็นคนเขียนบทเอง กำกับเอง ดังนั้นหนังทุกเรื่องมันจะมีความ Personal นิด ๆ อยู่ในตัว ส่วนการเขียนบทให้คนอื่นมันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะการเขียนบทมันก็ต้องมีโจทย์ของมัน แน่นอนว่าบางครั้งเราก็ใส่ตัวตนของเราไปด้วย เพราะว่าเวลาเขียนเราก็จะอินกับมัน การทำหนังมันใช่แค่เรื่องของ Story อย่างเดียว แต่ว่ามันมีเรื่องของ Attitude เรื่องของความรู้สึกที่เรามีต่อชีวิต ต่อมนุษย์ แล้วเราก็ยึดถือแนวทางนี้ในการทำหนังมาตลอด “ส่วนการวาดภาพก็เป็นความฝันแรกที่สุดของเราเลย สมัยอนุบาลเป็นคนที่วาดภาพเก่งที่สุดในห้อง แล้วก็มีความฝันว่าอยากวาดการ์ตูน เคยมีวาดส่งสำนักพิมพ์ด้วยนะ แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ เพราะทางสำนักพิมพ์เขาไม่โอเค (หัวเราะ) การวาดภาพการ์ตูนเล่าเรื่องถือว่ามันเป็นพื้นที่ใหม่ จากนิยายภาพ ‘รักเปื่อย’ อีก 2 ปีถัดมา ก็ได้ทำ ‘สองหัวใจในจักรวาล’ จากนั้นชีวิตก็นำมาเข้าสู่บทบาทของคนทำหนังอิสระ เป็นช่วงที่ทำหนังติดต่อกันทุกปี 4 เรื่องติดกัน แต่จริง ๆ แล้วใช้ระยะเวลาเกือบ ๆ  6 ปีเลย ตั้งแต่เริ่มเขียนบทและหาทุน เพราะว่าหนังอิสระ เงินทองมันไม่ได้เยอะมาก

“ในด้านของมุมมองที่มีต่ออุตสาหกรรมหนังไทยตอนนี้มันแย่ เพราะด้วยเหตุปัจจัยที่คนดูเปลี่ยนไป! หนังโรงมันไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเมื่อก่อน ตั๋วหนังก็แพง หนังออนไลน์ยังสนุกกว่า ทำไมต้องไปซื้อตั๋วและป๊อปคอนที่แพงกว่าตั๋วหนังอีก! สิ่งเหล่านี้มันกลายเป็นกิจกรรมที่แพง พอพฤติกรรมคนดูเปลี่ยนไปมันก็มีหลายอย่างโยงตามมา โรงหนังเองก็จะมีวิธีการเอาหนังเข้าโรงที่เปลี่ยนไป เราก็เลยเห็นปรากฏการ หนังดังเข้า 14 โรงพร้อมกัน ส่วนหนังอื่น ๆ ก็จะไปรวมกันอยู่ที่โรงเดียว 8 เรื่อง รวมกันอยู่ในโรงเดียว เราก็เลยได้เห็นหนังดัง ๆ ที่เปิดตัววันแรกทุบสถิติรายได้ 35 ล้าน อะไรแบบนี้ ก็เพราะโรงทั่วประเทศฉายแต่หนังเรื่องเดียว มันยังเป็นปัญหาคลาสสิกมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเราก็เข้าใจว่าเขาทำธุรกิจของเขา

“มาทางด้านของคนทำหนังบ้าง ค่ายหนังมีเงินนะ! แต่ว่าไม่รู้ว่าจะทำหนังยังไง ก็เลยคิดตาม ๆ กันว่าทำให้ออกมาแนวเหมือนหนังเรื่องก่อน ๆ ที่ประสบความสำเร็จสิ นั่นมันทำให้อุตสาหกรรมหนังมันย่ำแย่ เพราะมันไม่มีความหลากหลายที่เกิดขึ้น เลิกได้เลยเรื่อง Me Too เราต้องคิด Content ของเราขึ้นมาเอง อย่างหนังอินดี้เราเห็นจำนวนที่เยอะขึ้น ได้รางวัลทุกปี แต่ว่ามันมาไม่ถึงคนดูอยู่ดี เพราะว่าบางเรื่องทำก็คิดแต่ว่าต้องเอาไปฉายเทศกาลอย่างเดียว บางทีโรงเขาก็ไม่ให้รอบ ทุกคนต่างอยู่ในฝั่งของตัวเอง ในส่วนของคนดูก็จะไม่รู้จักหนังเลย “ผลงานที่คิดว่าเป็น Masterpiece ผมคิดว่ายากนะครับ เพราะว่าเราไม่เคยที่จะมี Masterpiece เพราะทุกครั้งที่เราทำก็จะเป็นหนังที่ Personal กับเราในช่วงเวลานั้น และมันก็มีจุดพีคของมันในตัวเอง เช่น ‘แต่เพียงผู้เดียว’ มันทำให้ผมได้ไปที่เวนิชครั้งแรก ทำให้เปิดโลกในการทำหนังของเรา ‘ตั้งวง’ ความพีคของมันคือได้ไปทั้งเบอร์ลิน และก็เป็นหนังที่กวาดรางวัลเป็นครั้งแรกในประเทศเยอะเหมือนกัน อย่าง ‘Snap แค่...ได้คิดถึง’ เองก็ได้ไปเปิดตัวที่ญี่ปุ่น ทำรายได้ทะลุขึ้นไปกว่าเดิมในหนังหมวดอินดี้ นำพาหลาย ๆ อย่างเข้ามาหาเรา เลยระบุได้ยากว่า Masterpiece คืออะไร “อนาคตหนังกำลังจะถ่ายเทไปอีกสื่อใหม่ เราเองยังเปลี่ยนมาดูหนัง Netflix มากขึ้นเลย และมันก็เวิร์คจริง ๆ เพราะว่าพื้นที่ของหนัง Mass และ Indy ให้พื้นที่เท่ากัน ไม่ว่าเนื้อหาจะ Niche แค่ไหน เขาเชื่อว่ามันต้องมีพื้นที่ของมัน การที่ Netflix กลายเป็น Hub มีจออยู่ทั่วโลก มันเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะว่ามันไม่ได้จำกัดเนื้อหาไว้ที่แนวใดแนวเดียว ต่างกับที่หนังในโรงก็จะมีหนังแนวเดียวไปเรื่อย ๆ” 

•    ผลงานล่าสุดของเขาคือนิยายภาพเรื่อง “รักเปื่อย” ในรูปแบบ Graphic Novel เป็นการพิมพ์ซ้ำครั้งล่าสุดในรอบ 9 ปี และเพิ่มตอนพิเศษที่พูดถึงตัวละครสำคัญของเรื่อง 

 

This Might Be My Masterpiece