Shine The Series: เกย์ การเมือง เสรีภาพ และความรัก

Shine The Series: เกย์ การเมือง เสรีภาพ และความรัก

     นับว่าเป็นอีกครั้งที่ค่าย Be On Cloud ผลิตผลงานคุณภาพออกมาให้ชาวโลกได้ชิมและลิ้มลอง ด้วยการเสิร์ฟซีรีส์เกย์ชั้นเลิศอย่าง ‘Shine (ชายน์)’ สุดยอดของเด็ดของดีแห่งยุคจากไทยแลนด์ ผ่านเรื่องราวสุดเข้มข้นของเกย์ไทยและสังคมไทยปี 1696 ในแบบที่ทุกคนไม่ควรพลาด

 

การเมืองไทย 1969

     แรกเริ่มเดิมที เราคิดว่าการวางโครงเรื่องให้อยู่ในช่วงปี 1969 มันเป็นเพียงแค่ยุคสมัยที่กำหนดไว้เพื่อคงกลิ่นอายยุคพีเรียดเท่านั้น แต่เมื่อดูไปเรื่อย ๆ ถึงได้เข้าใจว่าปี 1969 มันสำคัญอย่างไรจนซีรีส์ต้องหยิบยกเอามาเล่าจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นก้าวแรกบนดวงจันทร์ของนีล อาร์มสตรองกับยาน Apollo 11 ข่าวออกจากวงสุดแสนจะช็อกโลกของจอห์น เลนนอน (John Lennon) แห่ง The Beatles เหตุจลาจลสโตนวอลล์ (Stonewall Riots) บ่อเกิด Pride Month & Pride Parade ของชาว LGBTQIAN+ รวมถึงการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพลถนอม กิตติขจรที่จะกลายเป็นชนวนของเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ วันสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยต่อไป 

     เมื่อจั่วหัวมาแล้วว่า Shine (ชายน์) คือซีรีส์เกย์ที่ผสมผสานการเมืองเข้าไปอย่างเข้มข้น ดังนั้นเหล่าตัวละครหลักทั้ง 5 คนในเรื่องจึงเปรียบเสมือนตัวแทนของทุกชนชั้นในไทยตั้งแต่บนลงล่าง เริ่มจาก ธันวา (มาย ภาคภูมิ) นักดนตรีฮิปปี้ ลูกชายนายทุนผู้ร่ำรวยจากชนชั้นอีลีท ไกรเลิศ (สน ยุกต์) นายพลทหาร โฆษกกองทัพผู้มีอำนาจในสังคม ตฤณ (อาโป ณัฐวิญญ์) ปัญญาชนนักวิชาการ ผู้ยกระดับฐานะด้วยความรู้ ณรัน (ยูโร ยศวรรธน์) นักข่าวการเมืองชนชั้นกลางผู้มีอุดมการณ์แรงกล้า และ วิกเตอร์ (ปีเตอร์ เดรีย์) นักศึกษาลูกครึ่ง ไทย-รัสเซียชนชั้นรากหญ้าผู้สุดแสนจะหัวขบถ

    ตัวละครทั้งหมดแม้จะมีเส้นเรื่องของใครของมัน แต่ทุกคนกลับเกี่ยวโยงด้วยเหตุการณ์เดียวกันนั่นคือการสร้างโรงไฟฟ้าห้วยคำแสง (สถานที่สมมติ) ซึ่งในซีรีส์จะเห็นว่ามันตามมาด้วยเสียงวิจารณ์ของประชาชน การประท้วงของนักศึกษา การปิดข่าวและควบคุมสื่อของผู้มีอำนาจ การคอร์รัปชันของนักการเมือง ความเห็นแก่ตัวของนายทุน การถูกอุ้มฆ่าและลี้ภัยการเมืองของนักปฏิวัติ ฯลฯ ดูแล้วช่างสะท้อนสังคมจริงของไทยได้อย่างน่าหดหู่เสียเหลือเกิน เพราะเราเองก็รู้ดีว่าในปัจจุบันทุกอย่างไม่ได้ต่างไปจากเดิมมากนัก


“No system is perfect, Every system has its own flaw”

(อีวาน ซาเล็นโก)


      ทว่าสิ่งที่น่าชื่นชมอยู่อย่างคือตัวซีรีส์นั้นไม่ได้เขียนบทเอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากจนเกินไป แต่กลับเลือกนำเสนอมุมมองหลาย ๆ ด้านผ่านทางจุดยืนของแต่ละตัวละคร พร้อมทั้งให้น้ำหนักกับเหตุและผลเพื่อคนดูจะสามารถพิจารณากันเอาเองได้โดยไม่ถูกชักจูงใด ๆ ไม่ว่าคุณจะเข้าใจหรือเห็นด้วยกับใครก็ตาม

ปรัชญากับทางเลือก

     Jean Paul Sartre คือนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นบิดาแห่ง Existentialism (อัตถิภาวนิยม) ปรัชญาซึ่งว่าด้วยการที่มนุษย์ดำรงอยู่มาก่อนสารัตถะ ไม่มีใครวางบทกำหนดชีวิตเอาไว้แต่ต้องสร้างมันด้วยตัวเองผ่านสิ่งที่เลือกเอง และถึงแม้ว่าจะต้องพบเจอกับผลลัพธ์ทั้งดีทั้งร้าย ทว่านั่นก็นับเป็นเสรีภาพที่แท้จริงของมนุษย์ ดังที่ซีรีส์เรื่องนี้มักจะย้ำเราอยู่เสมอว่าสุดท้ายแล้วทุกตัวละครจะได้ Shine ในแบบของตัวเองไม่ว่าพวกเขาจะเลือกทางไหนก็ตาม

Free Will เจตจำนงเสรี

     หนึ่งในตัวละครที่เป็นสีสันสุด ๆ ของเรื่องคงจะหนีไม่พ้น ‘ธันวา’ หนุ่มนักดนตรีฮิปปี้สายสุขนิยม ปรากฏตัวกี่ครั้งก็เรียกรอยยิ้มจากคนดูได้เสมอ ทว่าภายใต้หน้ากากแห่งความสุขเขาเองก็ซ่อนความเศร้าหมองเอาไว้มากมายเช่นเดียวกันจากการสูญเสียแม่ไปในวัยเด็กด้วยอัตวินิบาตกรรม (Suicide) แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อมีคนถามว่าหากย้อนเวลากลับไปได้จะห้ามการกระทำของแม่หรือไม่ เขาก็ยังคงตอบปฏิเสธด้วยความเคารพในทางเลือกของเธอ แม้ผลที่ตามมาจะสร้างความเจ็บปวดต่อคนที่ยังอยู่เช่นเขาเองก็ตาม


‘ทุกคนต้องมีสิทธิ์ได้เลือกทำตามหัวใจของตัวเอง

(ธันวา ฉัตรบดี)


      ‘ตฤณ’ คืออีกหนึ่งตัวละครหลักที่เป็นนักวิชาการ ดังนั้นเขาจึงเลือกจะใช้ความรู้ความสามารถเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมแทนการประท้วง ต่างกับ ‘วิกเตอร์’ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ที่มองว่าเสียงจากคนรากหญ้ายังไงก็ต้องกู่ร้องให้ถึงคนเบื้องบนด้วยการลงถนน และแม้ว่าทางเลือกนี้จะนำมาซึ่งจุดจบของชีวิต แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดในสิ่งที่ทำอยู่ดี

     การสูญเสียวิกเตอร์ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนสนิทได้กรีดทับรอยแผลเดิมของตฤณ เพราะเขาเคยเลือกจะเป็นฝ่ายอยู่เฉย ๆ ขณะที่อดีตคนรักลงถนนเข้าสู่ม็อบและเสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น แต่สิ่งที่เจ็บปวดกว่าคือภายใต้สถานการณ์เดียวกันกับที่เคยเผชิญมาก่อน ตฤณเลือกแล้วว่าเขาจะปกป้องเหล่าลูกศิษย์ของตนให้ได้ ทว่ากลับถูกขีดเส้นทางด้วยคนรอบตัวที่หวังดีเพื่อกันเขาออกไปไกล ๆ แทน


“ความรุนแรงมันสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริงเหรอ”

(ธันวา ฉัตรบดี)

“แต่ก็ไม่มีใครอยู่เฉย ๆ แล้วเปลี่ยนอะไรได้เหมือนกัน”

(สุชา)


     ตฤณอาจจะห้ามวิกเตอร์ให้ไปม็อบไม่ได้... ตฤณอาจจะห้ามกระสุนที่ยิงไปหาวิกเตอร์ไม่ได้...  แต่ตฤณคิดว่าเขาควรมีสิทธิ์ได้เลือกทำตามเจตจำนงของตัวเองตั้งแต่แรกที่จะก้าวออกไปและไม่อยู่เฉยดั่งเช่นในอดีต

เกย์ 1969

     ความรักของเกย์ในยุคสมัยนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แม้กระทั่งประเทศโลกที่หนึ่งยังไม่ยอมรับ รังเกียจ มองว่าโรคจิต ผิดศีลธรรม ควรไปบำบัดรักษา ฯลฯ คงไม่ต้องพูดถึงสังคมไทยที่ในอดีตเองก็ต่อต้านรักร่วมเพศกันอย่างหนักหน่วง ดังนั้นสถานะของตัวละครที่เป็นเกย์ในซีรีส์จึงมักถูกบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำเสมอ

ใกล้รุ่ง - สรัสวดี

     ‘ไกรเลิศ’ พลทหารผู้เป็นเกย์ คนรักชายถูกอุ้มฆ่าโดย ‘นาย’ แถมยังต้องไปแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก ทำให้เขาได้แต่มองเครื่องแบบทหารของตนเปรียบดั่งชุดเกราะอันหนักอึ้ง ขอเพียงได้ถอดมันออกตนจะกลายเป็นแค่ ‘ใกล้รุ่ง’ นักเขียนซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายใต้น้ำหมึกของปลายปากกาเท่านั้น ก่อนจะได้มาพานพบกับ นามปากกา ‘สรัสวดี’ หรือ ‘ณรัน’ คู่ปรับตัวฉกาจในคอลัมน์จดหมายแนบทำนองที่เขียนโต้ตอบกันไปมาอย่างเผ็ดร้อน หารู้ไม่ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของรักต้องห้ามที่กำลังจะก่อตัวขึ้นและไม่มีทางที่จะจบอย่างสวยงามแน่นอน

     คอลัมน์จดหมายแนบทำนองที่ใกล้รุ่งและสรัสวดีเขียนตอบโต้ (จีบ) กันนั้นโด่งดังมากเพราะนักอ่านทั้งหลายต่างเชียร์ให้คู่นี้สมหวังกัน แม้จะไม่รู้ว่าภายใต้นามปากกานั้นคือใคร แต่ทุกคนกลับสวมทับด้วยภาพของชายหญิงไปแล้วโดยปริยาย ดังนั้นเมื่อมองให้ลึกลงไปเราจะเห็นว่าพอไร้ซึ่งปัจจัยด้านเพศสภาพที่ถูกกำหนดด้วยบรรทัดฐานทางสังคม ความรักของคู่เกย์เองก็ไม่ต่างอะไรกับคู่ชายหญิงเลย


    สามารถรับชมซีรีส์ Shine (ชายน์) ได้ที่แอปพลิเคชัน WeTV ซึ่งมีทั้ง Acoustic Version (ทั่วไป) และ Orchestric Version (18+) รวมถึงรับชมตอนสุดท้ายกันสด ๆ ได้ผ่านทางช่อง 7HD ในวันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2025 นี้ เวลา 22:00 น.

     และหากใครที่กำลังมองหาเพลลิสต์เพลงดี ๆ สไตล์ยุค 70s สามารถรับฟังได้ที่ Spotify "Shine" Original Soundtrack ด้วยเช่นกัน

 

 


 

Be On Cloud เสิร์ฟซีรีส์เกย์ชั้นเลิศ ‘Shine (ชายน์)’ สุดยอดของเด็ดของดีแห่งปี 2025 ผ่านเรื่องราวสุดเข้มข้นของเกย์ไทยและสังคมไทยปี 1696 ในแบบที่ทุกคนไม่ควรพลาด