
“F1® The Movie - F1 เดอะ มูฟวี่” ภาพยนตร์แอ็กชันสุดมันส์แห่งปี เตรียมลุ้นระทึกขีดสุดบนเส้นทางไถ่บาปครั้งสุดท้ายพร้อมกัน 26 มิถุนายนนี้ในโรงภาพยนตร์
ผลงานสร้างจาก Apple Original Films และผู้สร้างภาพยนตร์ภาคต่อจากผลงานระดับตำนานอย่าง Top Gun: Maverick สู่อีกหนึ่งผลงานภาพยนตร์แอ็กชันสุดระทึกที่จะทำให้คนดูลุ้นจนแทบหยุดหายใจใน “F1® The Movie - F1 เดอะ มูฟวี่” นำแสดงโดย แบรด พิตต์ และกำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ อำนวยการสร้างภาพยนตร์ โดย เจอร์รี บรักไฮเมอร์, โจเซฟ โคซินสกี้, นักแข่ง FORMULA 1 ผู้ชนะการแข่งขันมาแล้วถึง 7 ครั้งอย่าง ลูอิส แฮมิลตัน, แบรด พิตต์, ดีดี้ การ์ดเนอร์, เจเรมี ไคลเนอร์ และ แชด โอมาน
F1® The Movie ว่าด้วยเรื่องราวของ ซอนนี่ เฮยส์ (แบรด พิตต์) ชายผู้ถูกขนานนามว่าเป็น “ขั้นสุดของสุดยอดอย่างไม่เคยมีมาก่อน” เขาคือปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองที่สุดของ FORMULA 1 ในยุค 90 จนกระทั่งเขาประสบอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งใหญ่ 30 ปีต่อมา เขากลายเป็นนักแข่งรับจ้างต่างสนามต่าง ๆ จนกระทั่ง รูเบ็น เซอร์แวนเทส (ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) อดีตเพื่อนร่วมทีมของเขา ซึ่งเป็นเจ้าของทีม FORMULA 1 และกำลังประสบปัญหาใกล้ล้มละลาย เข้ามาหาซอนนี่เพื่อโน้มน้าวให้เขากลับสู่สนามการแข่งขันอีกครั้ง เพื่อเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายในการกอบกู้ทีมและกลับมาเป็นที่สุดของโลกอีกครั้ง โดยเขาต้องขับรถคู่กับ โจชัว เพียร์ซ (แดมสัน ไอดริส) นักแข่งหน้าใหม่ของทีม ผู้หวังเหยียบคันเร่งถีบตัวเองให้เหนือระดับขึ้นไปอีกขั้น แต่ขณะที่เครื่องยนต์คำราม อดีตของซอนนี่ไล่ตามเขาทัน และทำให้เขาพบว่าที่ FORMULA 1 เพื่อนร่วมทีทชมคือคู่แข่งที่ดุดันที่สุดของคุณ และเส้นทางสู่การไถ่บาปไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถเดินทางคนเดียวได้
F1® The Movie ยังมี เดมสัน ไอดริช, เคอร์รี่ คอนดอน, โทเบียส เมนซี่ส์, คิม บอดเนีย และ ฮาเวียร์ บาร์เด็ม ร่วมแสดงด้วย และถ่ายทำในช่วงสุดสัปดาห์ของการแข่งขัน Grand Prix ในขณะที่ทีมแข่งสุดยิ่งใหญ่ก็ลงแข่งด้วยเช่นกัน โจเซฟ โคซินสกี้ กำกับจากบทภาพยนตร์ของ เอเรน ครูเกอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย แดเนียล ลูปี พร้อมด้วยทีมงานคุณภาพที่ โคซินสกี้เคยร่วมงานด้วยไม่ว่าจะเป็น ตากล้องคู่ใจอย่าง คลอดิโอ มิแรนดา ผู้ออกแบบงานสร้าง มาร์ค ทิลเดสลีย์ และ เบน มุนโร ลำกับภาพโดย สตีเฟ่น มิริโอน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย จูเลียน เดย์ ผู้กำกับการคัดเลือกนักแสดง ลูซี่ บีแวน และผู้แต่งเพลง ฮานส์ ซิมเมอร์
เบื้องหลังการถ่ายทำ : ไฟดับแล้ว ลุยได้
“ผมยังไม่รู้เลยว่าเราผ่านกันมาได้อย่างไร” แบรด พิตต์ เจ้าของรางวัล Oscar® เล่าถึงกาที่เขาและผู้สร้างฯ เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ และผู้กำกับฯ โจเซฟ โคซินสกี้ สร้างสิ่งที่พิตต์เรียกว่า “ประสบการณ์ขับรถที่ดูสมจริงที่สุดเท่าที่เคยอยู่บนภาพยนตร์” และสิ่งที่ทำคือการให้พิตต์และแดมสัน ไอดริส เพื่อนร่วมแสดงของเขากลายเป็นนักแข่งรถมืออาชีพ ถ่ายทำพวกเขาด้วยความเร็วระดับสูงสุด “พลังจากรถเหล่านี้ ความเร็วสูงเมื่อเข้าโค้ง หลักฟิสิกส์ที่จำเป็นต้องใช้ตั้งแต่ศีรษะจนถึงไหล่ มันน่าช็อคเมื่อรู้ว่ารถพวกนี้ทำอะไรได้บ้าง มันรุนแรงไม่เหมือนกับสิ่งไหนที่เคยเจอมาก่อน เราไม่สามารถถ่ายทอดเป็นอย่างอื่นได้เลย”
พิตต์เล่าว่าความมหัศจรรย์ของหนังคือการเย้ายวนใจแฟนๆ กีฬาหรือใครก็ตามที่ไม่เคยได้ยินเรื่องฟอร์มูล่า 1 มาก่อน “การรับงานยากแบบนั้นคือเรื่องท้าทายครั้งใหญ่ แต่ผมคิดว่าพวกเราทำได้สำเร็จแล้ว ทั้งมอบความรู้และสร้างความเข้าใจให้กับผู้เพิ่งเข้าวงการโดยไม่ทำให้แฟนๆ ที่เหนียวแน่นผิดหวังเบื่อหน่าย มีทั้งความสนุก ความฮึกเหิม เป็นการขับรถที่สร้างความอบอุ่นอย่างน่าทึ่ง ผมรักทุกตัวละครและคิดว่าหนังเรื่องนี้สนุกเหลือเชื่อในหลายมิติเลย”
ก่อนที่พิตต์และไอดริสจะเรียนรู้การขับรถที่ความเร็วเกือบ 200 ไมล์ต่อชั่วโมง และก่อนที่กองถ่ายจะกลืนไปกับงานแข่งรถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของโลก F1® The Movie เริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้กำกับฯ เรื่อง Top Gun: Maverick โจเซฟ โคซินสกี้ ติดต่อผู้สร้างฯ แห่งตำนาน เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์พร้อมไอเดีย “สิ่งที่โจต้องการคือความสมจริง เขาอยากสร้างหนังรถแข่งที่สนุกที่สุด” บรัคไฮเมอร์กล่าว “การจะทำอะไรแบบนั้นได้ คุณต้องจับนักแสดงเข้าไปอยู่ในรถ มันมีทั้งความตื่นเต้น ความเสี่ยง แต่เป็นทางเดียวที่จะสร้างหนังได้ เมื่อได้ดูในหนังคุณจะได้เห็นการขับรถของพวกเขา มันคือประสบการณ์สุดพิเศษจากภายในที่ได้เห็นนักแสดงขับรถอันทรงพลังนี้จริงๆ”
ฟอร์มูลา 1 คือกีฬาที่ตื่นเต้นและได้รับความนิยมมากที่สุดอย่างหนึ่งของโลก และความนิยมนั้นก็พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว
เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดไอเดียการสร้างหนังฟอร์มูลา 1 ขึ้นมา และอีกเรื่องหนึ่งคือต้องมีทักษะ ประสบกาณณ์ และความกล้าในการสร้างมันขึ้นมา บรัคไฮเมอร์เล่าว่าเซฟ โคซินสกี้เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำได้ “เขาเข้าใจวิธีการผสมผสานฉากแอ็คชั่น ดราม่า และความสมจริง เขาชอบสร้างสีสันด้วยมุกตลกในเรื่องด้วย” ผู้สร้างฯ ที่มากประสบการณ์กล่าว “มันเหมือนของขวัญสำหรับโจ มีความสมจริงจนเราอยากจะขึ้นรถขับเข้าไปในสนามแข่งตอนเดินออกจากโรงภาพยนตร์เลย”
สำหรับโคซินสกี้ ไอเดียเกิดขึ้นจากการผสมผสาน 2 ไอเดียที่เขามีพร้อมกัน อย่างแรกคือเขาเป็นแฟน “Drive to Survive” ภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับ F1 ที่ประสบความสำเร็จสูงมาก “สิ่งที่ฝังใจผมในฤดูกาลแรกคือมันไม่ได้โฟกัสที่คนดังและทีมดังเป็นส่วนใหญ่ แต่รวมถึงทีมเบื้องหลังด้วย นั่นคือเรื่องราวที่สำคัญมากในเรื่อง ม้ามืดที่พยายามจะขึ้นสู่ 10 อันดับแรก หรือหาทางทำให้ทีมอยู่รอด” เขากล่าว
ไอเดียที่ 2 รวมถึงนักแข่งที่อยู่ระดับหัวแถวในวงการ “บังเอิญว่าผมมีอีเมล์ของลูอิส ฮามิลตัน” เขาเล่า ฮามิลตันเป็นแชมป์ 7 สมัย เขาคือตำนานที่สร้างแรงบันดาลใจในสนามและนอกสนาม เคยคิดจะมารับบทในเรื่อง Top Gun: Maverick ด้วย “ผมส่งอีเมล์ไปหาลูอิสแค่บอกว่า ‘ผมอยากสร้างหนังเกี่ยวกับโลกใบนี้ ผมอยากให้เป็นหนังเกี่ยวกับรถแข่งที่สมจริงที่สุด คุณสนใจมาช่วยผมสร้างหนังไหม? และเขาก็ตอบตกลง”
ความสมจริงนั้นคือสิ่งที่ทำให้ฮามิลตันเกิดความสนใจ “ตั้งแต่เริ่มแรกโจและเจอร์รี่คุยกันว่าความสมจริงมีความสำคัญขนาดไหน” ฮามิลตันกล่าว “ไม่ใช่แค่สำหรับแฟนๆ หน้าใหม่ที่เราจะได้จากหนังเรื่องนี้ แต่สำหรับแฟนรุ่นก่อนอย่างผมที่โตมาพร้อมกันตั้งแต่ช่วงเรากำลังเดินด้วย จึงเน้นความสนใจที่การสร้างความสมจริงให้หนังรถแข่งเท่าที่เคยมีมา “การตอบตกลงของฮามิลตันทำให้พวกเขาพร้อมออกไปยังสนามแข่งรถเลย
โคซินสกี้เล่าว่าบรัคไฮเมอร์ (“ที่บังเอิญรู้ว่าเป็นหนึ่งในผู้สร้างฯ ที่เก่งมากตลอดกาลคนหนึ่ง) เป็นหนึ่งในมไม่กี่คนที่ทำให้หนังในจินตนาการของเขากลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ “มันจะต้องมีความท้าทายแน่ๆ ไม่ใช่แค่ในมุมการสร้างภาพยนตร์ แต่ในมุมการคำนวณด้วย เพราะเป็นการจับวัตถุขนาดใหญ่มาสร้างความโดดเด่น” เขากล่าว
เมื่อมีฮามิลตันมาร่วมงาน และนักเขียนบทฯ คนสำคัญ เอห์เรน ครูเกอร์ มาร่วมงานด้านการเขียนบทฯ ผู้สร้างกลับไปหาตัวเลือกแรกที่จะมารับบทซอนนี่ฮาเยส คือแบรด พิตต์ นักแสดงเจ้าของรางวัล Academy Award® “ผมชื่นชอบการแข่งรถมาโดยตลอด แน่นอนว่าผมคิดเสมอว่าจะดีแค่ไหนหากมีการสร้างหนังเกี่ยวกับรถแข่งขึ้นมา” พิตต์กล่าว เมื่อเจอร์รี่ โจ และลูอิสติดต่อมาหาผม ผมอยากร่วมงานด้วยไม่ลังเลเลย ไม่ใช่แค่โปรเจ็กต์ที่ได้ร่วมงานกับผู้สร้างฯ เก่งๆ แต่ผมจะได้เข้าไปในรถแข่งจริงด้วยความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมงในการถ่ายหนังด้วย จะได้เป็นการหายคาใจ”
โคซินสกี้เล่าว่าแบรด พิตต์ถ่ายทอดทุกอย่างที่จำเป็นต่อโปรเจ็กต์นี้ในฐานะนักแสดงนำให้เห็น “แบรดมีเอกลักษณ์โดดเด่น และผมอยากให้ซอนนี่มีความโดดเด่นเช่นกัน” โคซินสกี้กล่าว “แบรดมารับบทที่สร้างมาเพื่อเขาและแสดงออกมาได้มากกว่านั้น เขามีความต้องการชัดเจนว่าอยากให้ซอนนี่ ฮาเยสเป็นแบบไหน เขาเองก็เป็นผู้สร้างฯ ที่เก่งคนหนึ่ง มีส่วนร่วมในทุกด้านของบทและนำไปผสมผสานเข้ากับในหนัง ที่สำคัญเหนือทุกสิ่งคือเขาเป็นนักแข่งที่มีพรสวรรค์และรักกีฬาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากแบรดไม่มีคุณสมบัติเหล่านั้น ผมไม่รู้เลยวาจะสร้างหนังเรื่องนี้ได้อย่างไร”
ยังมีอีกเหตุผลที่ F1® The Movie เหมาะกับพิตต์เป็นพิเศษ “การแข่งรถคือสิ่งที่แบรดหลงใหลสุดชีวิต” ดีดี้ การ์ดเนอร์ กล่าว เขาร่วมงานกับเจเรมี่ คลีเนอร์และเป็นพาร์ทเนอร์ของพิตต์ใน Plan B “ตั้งแต่ผมรู้จักเขา เขาหลงใหลพวกรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่สุดในชีวิตเลย”
บรัคไฮเมอร์เล่าถึงไอเดียว่าการเลือกพิตต์ไม่ได้มาจากทักษะด้านการแสดงต่อหน้ากล้องของเขาเพียงอย่างเดียว ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเขาคือนักแสดงแห่งตำนาน แต่ทุกสิ่งที่เขาทำให้เห็นในทุกโปรเจ็กต์ที่เขามีส่วนร่วมต่างหาก “แบรดและพาร์ทเนอร์ด้านการผลิตของเขาที่ Plan B ดีดี้ การ์ดเนอร์ และเจเรมี่ คลีเนอร์ ทุกคนคือระดับเทพกันทั้งนั้น” บรัคไฮเมอร์กล่าว “จะเห็นได้จากหนังหลายเรื่องที่พวกเขาสร้าง ทุกรางวัลที่พวกเขาได้รับ พวกเขาต้องการคุณภาพ นักแสดงที่เก่ง บทที่สนุก ทุกสิ่งต้องเป็นสุดยอด” และนั่นเริ่มจากตัวเขาเอง เมื่อพิตต์เป็นผู้นำและผลักดันตัวเองให้ไปถึงคุณภาพที่เขาตั้งไว้
การ์ดเนอร์เล่าว่าความท้าทายของโปรเจ็กต์นี้คือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากทุกคนที่ Plan B ได้ “หากเราตัดสิ่งนี้ออกไป มันคงคาดไม่ถึงและไม่ธรรมดา” เธอกล่าว “หากเรานำกีฬาโลกนี้มาอยู่ในหนังที่เป็นไปตามเหตุผลของพวกเขา มีเส้นทางของพวกเขา มีองค์กรของพวกเขา ที่ไม่เคยมีมาก่อน มันคงไม่สนุกในการสร้างมากมายนัก แต่มันมีการสร้างหนังที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อนด้วย”
สำหรับการมีพิตต์มาร่วมงานด้วย เขาพร้อมกับผู้สร้างฯ โคซินสกี้และครูเกอร์เริ่มสร้างตัวละครที่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราวดราม่า หนุ่มคาวบอยผู้รับความเสี่ยงที่อาชีพการงานไม่ค่อยสอดคล้องกัน เขาไม่เคยทำได้เลยใน F1 แม้จะมีโอกาสในช่วงแรก และถูกเรียกตัวกลับไปให้เล่นกีฬาเพื่อกอบกู้ทีมในช่วงสุดท้ายจากการถูกลืม
“เขาคือนักแข่งรถอย่างแท้จริง” พิตต์พูดถึงตัวละครของเขา “เขาอยู่ด้วยความรัก เขาออกจากวงการ F1 ตั้งแต่อายุยังน้อย และคิดถึงช่วงที่เขาทำสมาธิกับมังกรร้าย จนกระทั่งโอกาสนี้เข้ามาจากเพื่อนเก่าของเขา”
พิตต์เล่าว่าเขากับโคซินสกี้พัฒนาตัวละครนี้ผ่านนักแข่ง F1 ตัวจริง “เรามีการสัมภาษณ์นักแข่งรถระหว่างที่เราพัฒนาเรื่องราวของทีมรั้งท้าย” เขากล่าว “คุณอาจจะเป็นหนึ่งในสุดยอดนักแข่งของโลก อยู่จุดสูงสุดของกีฬาแข่งขัน ซึ่งการต้องมาอยู่รั้งท้ายคือเรื่องที่น่ากลัวมาก”
ในการคุยกันพิตต์ได้สร้างตัวละครที่ดูเจียมตัวจากอดีตที่ผ่านมา แต่ยังคงมีความมั่นใจในความสามารถและประสบการณ์ของเขา ตัวละครที่มุ่งมั่นท้าทายทุกอย่างที่ทำได้ และเขาได้ฉลองให้กับทุกสนามในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนมาอยู่ทีมรั้งท้ายนี่
“ซอนนี่มีความท้าทาย เจ้าเล่ห์ และคาดเดายากบนสนามแข่ง แต่นั่นคือสิ่งที่ทีมนี้ต้องการ” เคอร์รี่ คอนดอน ผู้รับบทเคท ผู้ดูแลด้านเทคนิคของทีมกล่าว คอนดอนให้ความเห็นว่าทีมไม่มีจุเด่นในช่วง 2 ปีครึ่งและกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกขาย “ซอนนี่มีความโดดเด่นสำหรับเธอว่ารถต้องการอะไรบ้าง นั่นจะทำให้ทีมพัฒนาขึ้นได้”
ทีมผู้สร้างภาพยนตร์จะสร้างดีลกับสตูดิโอใดก็ได้ในฮอลลีวูด แต่ Apple Studios เป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีที่สุดในการสร้างนวัตกรรมและมีการผลิตขั้นสูง “Apple ทำให้เราถ่ายทอดภาพยนตร์ในโรงได้อย่างน่าหลงใหล และการร่วมงานกันทำให้เกิดความสร้างสรรค์เหลือเชื่อ จนกลายเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจในเรื่องนี้” บรัคไฮเมอร์กล่าว “พวกเขาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่สุดในโลก ทุกสิ่งที่เขาสร้างเมื่อใดก็ตามที่เข้าไปอยู่เบื้เองหลัง มันต้องน่าทึ่งมาก ใครจะทำได้ดีกว่านั้นอีก?”
ก้าวต่อมาคือการติดต่อ F1 “ดูว่าพวกเขาจะให้เราจอยคลับด้วยได้หรือไม่” ตามที่บรัคไฮเมอร์ต้องการ โอกาสจะนำเสนอกีฬานี้บนจอยักษ์ ให้เป็นหนังรถแข่งที่ดีที่สุดเท่าที่เคยส้รางมา โดยทีมสร้างภาพยนตร์ที่เคยสร้างปรากฎการณ์ Top Gun: Maverick นับเป็นโอกาสในการถ่ายทอดกีฬาสู่ระดับที่ยิ่งใหญ่ขึ้น “นี่เป็นโอกาสที่จะนำโลกอันน่าทึ่ง 2 ใบ ทั้งจุดสูงสุดของมอเตอร์สปอร์ตอย่าง Formula 1 และเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์, โจเซฟ โคซินสกี้ มาร่วมพาร์ทเนอร์กับ Apple ซึ่งอยู่ระดับแนวหน้าของฮอลลีวูด” สเตฟาโน โดเมนิคาลี่ ซีอีโอแห่ง Formula One กล่าว
“‘เรื่อง F1: The Movie คือทุกสิ่งที่เรารักในหนังสักเรื่องหนึ่ง และมีการเล่าเรื่องที่เราภูมิใจกับการได้เป็นแชมป์” แม็ตต์ เดนต์เลอร์ หัวหน้าฝ่ายดูแลภาพยนตร์แห่ง Apple Original Films กล่าว “นี่เป็นเรื่องราวของม้ามืดที่ไขว่คว้าความยิ่งใหญ่ ถ่ายทอดอารมณ์และความมุ่งมั่นของมนุษย์ จุดไฟโดยจินตนาการของผู้สร้างภาพยนตร์อย่างโจ เจอร์รี่ แบรด และลูอิสที่จะทำให้เกิดสีสัน จากจุดเริ่มต้น เราเกิดแรงบันดาลใจจากการได้ร่วมงานกับทีมสร้างสรรค์ที่มีพรสวรรค์ และร่วมงานกับ Formula One ที่มีความเป็นเลิศขั้นสุดยอด เมื่อมารวมตัวกันทำให้พวกเราได้สร้างหนังที่มีทั้งความตื่นเต้นจากการแข่งขัน มีความรู้สึก มีความยืดหยุ่น และที่สำคัญคือมีความเป็นมนุษย์ออกมา”
สำหรับทุกความตื่นเต้นที่โปรเจ็กต์ให้คำสัญญาเอาไว้ บรัคไฮเมอร์เข้าใจดีจากการทำงานของเขาที่ยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษในเหตุผลที่ผู้คนจะไปดูหนัง “มักจะเป็นเรื่องราวของตัวละครเสมอ” เขากล่าว “แบรดมีตัวละครที่เจ๋งในเรื่องนี้ เขาอาศัยอยู่ในรถตู้ ติดการพนัน ผ่านการหย่ามาหลายครั้ง เขาอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เขาได้โอกาสมาและทำมันหลุดหายไป แต่เขาถนัดในสิ่งที่ทำมาก นั่นคือเหตุผลที่ตัวละครของฮาเวียร์ บาร์เด็มต้องการเขามาร่วมทีมด้วย เขากลับมาเพื่อโอกาสครั้งที่ 2 ของเขา และเราต่างรักโอกาสครั้งที่ 2 กันทั้งนั้น”
“นี่คือเรื่องราวของการกู้ชื่อเสียง แม้คุณจะไม่ใช่แฟนกาแข่งรถก็สนุกสนานได้” โคซินสกี้กล่าว “ในช่วงที่อายุน้อย ซอนนี่มีความมุ่งมั่นหลายเรื่องและแบกความกดดันหลายอย่าง ซึ่งหลายสิ่งก็ไม่ได้สำเร็จ ชีวิตเขาหลงทางไปพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็หาทางกลับมาได้ เป็นเรื่องราวที่สนุก เข้าใจง่าย ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องรถแข่งเลย”
“นี่คือหนังที่ทำให้รู้สึกดีเกี่ยวกับเรื่องราวของม้ามืด” คอนดอนกล่าว “เป็นการข้ามขอบเขตการสร้างภาพยนตร์ เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่น แต่ก็มีมุมโรแมนซ์และมุกตลก มีความสนุกสุดๆ เลยครับ”
Apple Original Films นำเสนอ a Monolith Pictures /Jerry Bruckheimer / Plan B Entertainment / Dawn Apollo Films Production ภาพยนตร์โดย โจเซฟ โคซินสกี้ “F1® The Movie - F1 เดอะ มูฟวี่” จัดจำหน่ายทัวโลกโดย Warner Bros. Pictures พร้อมเข้าฉาย 26 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์ ทั้งระบบปกติ 4DX, MX4D และสัมผัสถึงขีดสุดของประสบการณ์รับชมในระบบ IMAX