ระฆังไม่มีวันหมดยก "ปัญญา นิรันดร์กุล"

ระฆังไม่มีวันหมดยก "ปัญญา นิรันดร์กุล"

   ปัญญา นิรันดร์กุล คือคนที่พลิกโฉมใหม่ให้วงการทีวีมีสีสัน สร้างสาระความรู้ ความบันเทิง เขาคือต้นตระกูลผู้ก่อกําเนิด บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ในฐานะประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เขาคือลูกชายคนที่ 2 ของคุณแม่อําพัน นิรันดร์กุล

   ดั้งเดิมครอบครัวของเขาค่อนข้างลําบาก ไม่ค่อยมีสตางค์เหมือนครอบครัวอื่น เพราะมีอาชีพทําสวนผักอย่างเดียว บ้านก็เหมือนบ้านนอกหลังคามุงจาก เขาอยู่ในครอบครัวใหญ่มีพี่น้องอยู่รวมกันหลายคน ภายหลังเมื่อถูกไล่ที่จึงย้ายมาขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ห้องแถวซอยอารีย์สัมพันธ์ ถนนพหลโยธิน ซึ่งตอนนั้นยังเป็นถนนลูกรังกว้าง 6 เมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นก้ามปูดูร่มรื่น ถนนยังไม่ตัดผ่านความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง

   ด้วยความยากจน หลังเลิกเรียนเด็กชายปัญญา มักจะรับเรียงเบอร์มาขาย บางทีก็ขายหนังสือพิมพ์ ขายตังเม ขายจับฉลากในวันหยุด นําเงินมาจุนเจือครอบครัว หลังจากผิดหวังจากการสอบเข้าโรงเรียนอุดมศึกษาพญาไท เขาไปสอบติดที่โรงเรียนนนทรีวิทยาชายขอบกรุงเทพ ฯ ก่อนที่จะมาสอบติดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ซึ่งนอกจากจะสอนให้เขาเป็นปัญญาชนแล้ว ยังสอนให้เขาเป็น “ปัญญา นิรันดร์กุล” แบบที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ด้วย

ระฆังลั่น ณ รั้วจามจุรี

   “ผมเชื่อว่าทุกคนมีความดี ความสําเร็จอยู่ในชีวิตอยู่แล้ว แต่หามันยังไม่เจอ จูนยังไม่ตรงกัน บังเอิญผมจูนข้าไปหน่อย ไปจนได้ตอน ม.ศ.3 นั่นคือจุดเริ่มต้นของความกล้าของการตั้งใจเรียนให้ดี แต่สุดท้ายไปจูนติดตอนเรียนอยู่คณะสถาปัตย์จุฬาฯ รู้จักตัวตนขึ้นมาปี 1 จึงเป็นรากหยั่งลึกไปสู่ลําต้นใหญ่ พอขึ้นปี 2 ผมเริ่มจับไมโครโฟนครั้งแรกในปี พ.ศ. 2516 ชีวิตเปลี่ยนเลย ไม่คิดว่าการจับไมค์ในครั้งนั้นมันจะทําให้เรามีอาชีพ มีฐานะ มีความสําเร็จ เป็นตัวตนของเรา เป็นแบบอย่างการทํางานเต็มไปหมด

   “ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นร่วมกับประสบการณ์ต่าง ๆ ของเพื่อนฝูงทั้งดีและไม่ดี บวกกับการพัฒนาที่เราค้นหานํามาเป็นประสบการณ์ชีวิต ถ้ามีคุณธรรมเสริมเข้าอีกทําอะไรเพื่อสังคมด้วย คุณก็จะเป็นบุคคลที่สามารถทําอะไรให้กับประเทศชาติได้

   “นั่นคือภาพรวม ส่วนภาพปัจจุบันเรื่องครอบครัว ผมสมรสกับคุณวาสนา นิรันดร์กุล ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก มีทายาทรวม 4 คนเป็นบุตรสาว 3 คน ได้แก่ ปานวาด ปานฝัน และคนเล็ก ปรวัธน์

   “พอเราทําได้ในเรื่องการศึกษาก็สามารถส่งไม้ต่อไปยังลูก ๆ ได้ ซึ่งพ่อแม่ของเราทําไม่ได้ เพราะประสบการณ์ของเขาไม่มี เขาโล้สําเภามาจากเมืองจีน พ่อเราไม่มีแม้เสื่อผืนหมอนใบ หนักเข้าไปอีกอยู่ในเรืออ้วกแตกอ้วกแตน แล้วก็มีผม ทําให้เราเติบโตขึ้นมาได้ โอ้โห สุดยอดความเก่งแล้ว ฉะนั้นพ่อจึงเป็นวีรบุรุษของเรา ถ้าเขาให้เราได้ เขาจะให้เราหมด แต่ตอนนั้นเขาไม่มีเงินให้เราเท่านั้นเอง

   “ต่อมาเมื่อผมสอบเข้าเรียน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ ปัญหาอุปสรรคก็ยังตามมาอีกเยอะมาก แต่เราไม่ท้อ ถ้าท้อเราก็แพ้ เพราะฉะนั้นกลุ่มเพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกันมา 80 คน ก็มีเพื่อนฐานะดีขี่รถมาเรียนบางคนเป็นลูกผู้รับเหมาก่อสร้าง บางคนก็จนพอ ๆ กับเรา บางคนมาจากต่างจังหวัด เราเรียนในระบบมหาวิทยาลัยไม่มีใครมาบังคับ ไม่มาเรียนก็เรื่องของคุณจะลงทะเบียนเรียนกี่หน่วยกิตแล้วแต่คุณจะเรียน ผมเรียนไปด้วย ทํากิจกรรมไปด้วย เล่นละคร 'ถาปัต สลับกัน พอมีรายได้เข้ามา ผมเรียนได้เกรดเฉลี่ย 3.5 มาจบปี 5 ได้เกรดเฉลี่ย 2.7

   “เพราะสถาปัตย์คือการออกแบบ การออกแบบพื้นฐาน เราจูนกับมันติดก็รอดตัวไป ชีวิตคุณอาจจะเจอปัญหา แพ้ครั้งแรกหรือแพ้ครั้งที่ 2 แต่ถ้าคุณยังไม่ยอมแพ้แปลว่าคุณไม่แพ้ แต่ถ้าคุณยอมแพ้ คุณแพ้ไปเลย สุดท้ายถ้าคุณไม่แพ้ แล้วคุณยังเชื่อว่าคุณทําได้จริง คุณรอเวลา เราเองก็คิดอย่างนั้น แล้วเราก็ทําได้ ชีวิตคนเรามันไม่ใช่นักมวยที่ชกอยู่บนเวที มันไม่มีระฆังหมดยกใครเป็นคนกําหนดว่า 5 ยก 10 ยก จบเดินลงจากเวที ชีวิตคุณเป็นคนกําหนดทั้งนั้น คุณจะเอาตัวเองไปอยู่อารมณ์ไหนกับสังคมโลก วันเดียวกันเหตุการณ์เดียวกัน คุณจะเศร้าก็ได้ คุณจะสุขก็ได้ คุณจะสําเร็จหรือผิดหวังก็ได้ อยู่ที่คุณคนเดียว ไอ้คนที่อยู่ข้าง ๆ เรา ผมว่ามันสมมุติทั้งหมด

   “ภาพในวัยเด็กของผมยากจน ครอบครัวไม่มีเงิน มันเป็นภาพของความล้มเหลวหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่ แต่มันเป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องเก็บเอาไว้เป็นประสบการณ์ เก็บเป็นทุน เก็บเป็นทาน เมื่อเราเติบโตมาแล้ว เราจะเดินทางไปทางไหนไปสู่เส้นทางที่เราเลือก มันอยู่ที่เราเลือก เพราะฉะนั้นระฆังของ ปัญญา นิรันดร์กุล ไม่มีวันหมดยก มีแต่ระฆังเริ่มต้น เพราะระฆังชีวิตในแต่ละยกมันยังอีกยาวไกลมาก และจะมาบอกว่าวันนี้คุณประสบผลสําเร็จหรือเปล่า วันนี้คุณสุดยอดไหม ผมบอกว่ามันไม่ใช่ จะบอกว่าปัญญาเก่งเหลือเกิน ผมก็อายเขา เขินตัวเอง”

สุภาพบุรุษตาชั้นเดียว

   “เวลาผมทําให้คนอื่นได้รับชัยชนะ ได้รับความสําเร็จ เราจะทําได้ง่าย แต่บางคนมาสรรเสริญเยินยอ เราจะรู้สึกเขินขึ้นมา มันแปลกเวลาเราเด่น มันจะเขินมาก แต่ตัวเราไม่รู้ เมื่อเราทํางานไป มันก็จะเด่นของมันเอง

   “ส่วนตัวตนที่แท้จริงของผม เป็นบุคคลที่อยากจะทํางานตามที่ตัวเราถนัด จากการที่ได้เรียนคณะสถาปัตย์ ได้เรียนรู้เรื่องราวของครีเอทีฟ รู้เรื่องราวของศิลปะ เรื่องของกราฟิกดีไซน์ เมื่อมาอยู่ในสังคม เราได้เรียนรู้เรื่องราวของสังคม ไปรู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมไทย เพราะเราอยู่ในแผ่นดินไทยมันก็เกิดความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย งานที่เราทํามันจึงเป็นตัวตนของเราความเป็นเวิร์คพอยท์ฯ ของเรา เราคืองานครีเอทีฟ ที่ทํางานด้านศิลปวัฒนธรรมที่เราอยากทํา เพราะเราถนัดจริง ๆ อยากทําจริง ๆ แล้วงานเหล่านั้น มีใครมาบังคับให้เราทําไหม มันก็ไม่มี เรามีความอยากทํา เมื่ออยากปั้บ เราก็จะทําให้เด็ดขาด มีการพัฒนาการไปเรื่อย ๆ เพราะนั่นเป็นงานของเรา

   “ถามว่าทําไมเราถึงมีความอดทนสูง เพราะเรามีความสุขที่จะไปแก้ไขหรือไปสร้างสรรค์เพื่อไปต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นเวลานี้คนอื่นเขาบอกว่าทํางานมาก ๆ ตกลงมันเป็นความสุขหรือมันทุกข์กันแน่ ก็ไม่รู้ แต่เมื่อการทํางานแต่ละชิ้นเข้าเป้า เราจะมีสารแห่งความปีติหลั่งออกมา โอ้ย มีความสุขเหลือเกินพอจะพักให้หายเหนื่อยหลังเวที ก็เริ่มเคร่งเครียด หงุดหงิด เมื่อมีโจทย์มาให้คิดงานใหม่อีกแล้ว ก็ทํางานนี้ไป

   “นั่นคือการวางแผนชีวิตการทํางาน เหมือนกับการวางแผนในการเรียน เราก็นํามาประยุกต์กับการวางแผนชีวิต มันเป็นความโชคดีในชีวิตมาก อาจจะเพราะผมเกิดมาเป็นต้นตระกูล แล้วผมก็มาเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลตัวเองทีหลัง แต่ก่อนป๊ะป๋ามาจาก เมืองจีนมาตั้งชื่อผมว่า เปียง แซ่จิ๋ว เมื่อผมประสบผลสําเร็จขึ้นมา มันก็ไม่มีต้นตระกูลให้มายืนหรือมานั่งถ่ายรูปตระกูลแซ่ร่วมกัน ตอนมาเรียนสถาปัตย์ ก็มีพลังขับเคลื่อนมหาศาล ที่ทําให้มีปัญญาในปัจจุบันนี้ เราก็ตกใจอยู่เหมือนกัน ตกใจด้วยภูมิใจด้วยในความเป็นปัญญาซึ่งก่อนหน้านั้นเราเป็นอะไร เป็นโนบอดี้ แต่ระหว่างเรียนทําให้เรานึกถึงบรรยากาศที่ดี ๆ บรรยากาศของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ําใจ มีมิตรภาพ

   “ถ้าถามว่า ทําไมเด็กสถาปัตย์สร้างสรรค์หรือทําอะไรออกมาดี ๆ ได้หลายอย่าง ผมว่ามันมีการอบรมสั่งสอนและทําให้ดูเป็นตัวอย่างในสิ่งที่ดี ๆ อยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวก็จะมีกิจกรรมเกิดขึ้น แล้วผู้คนก็จะเข้าไปหามาดู วิธีการ ฉะนั้นการรับน้องใหม่แต่ละครั้งมันจึงเป็นการรับน้องที่สร้างสรรค์มีสปิริตจริง ๆ อย่างประเพณี แห่เชือก มันก็เป็นเรื่องราวของศิลปะ ความสามัคคี ความผูกพันระหว่างรุ่นพี่กับรุ่นน้อง การร้องเพลงเชียร์ ร้องเพลงจุฬาฯ ร้องเพลงสถาปัตย์มันจึงรักกันมาก สิ่งที่พี่ให้น้องไป มันคือชีวิตของพี่เมื่อน้องรับแล้วมันก็เกิดความปีติ ให้น้องสืบสานในรุ่นต่อ ๆ ไป เราจะรู้ว่าในแต่ละรุ่น แต่ละคณะ ใครถนัดอะไร ก็ไปทําสิ่งนั้น เมื่อเราค้นพบตัวเองว่า เราถนัดพูด ถนัดด้านแอตติ้ง เราก็ไปต่อยอดตรงนั้น

    “ผิดกับตอนเด็ก ๆ ผมจะเขินอาย ขี้กลัว สุดท้าย พอขึ้นปี 2 ก็จับไมค์ครั้งแรก ตกลงมันจะไปทางนี้ให้ได้ แล้วหลังจากปี 2 เป็นต้นไป มันจึงกลายเป็นว่าเวลา มีการแสดงหรือขาตพิธีกรเราจะกระโดดขึ้นไปบนเวทีก่อนเป็นคนแรก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อมาผ่าชีวิตผมดู ตั้งแต่ปี 2 ย้อนลงไป ยังเป็นมนุษย์ขี้อายไม่เอาไหน งง ๆ ซึม ๆ อยู่เลย

   “ผมจบออกมากว่า 30 ปีแล้ว ผมยังประทับใจที่นั่นอยู่เลย ถ้าผมมีโอกาสได้ไปพูดในงานปัจฉิมนิเทศของสถาปัตย์จุฬาฯ ในฐานะศิษย์เก่าให้น้อง ๆ ฟัง ผมอยากจะบอกพวกเขาว่า โอกาสของคุณมีมากเหลือเกิน ในขณะนี้จงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่คุณเรียนให้มากที่สุด นี่คือบ่อเงินบ่อทอง บ่อประสบการณ์แห่งชีวิต คุณจะรู้หลังจากที่คุณจบออกไปแล้วว่าคุณมีขุมทรัพย์มหาศาลอย่าเก็บเฉพาะวิชาการอย่างเดียวเก็บอารมณ์ เก็บสปิริต เก็บบรรยากาศและความรู้สึกที่ดีๆ ทั้งการเรียนการทํากิจกรรมนั่นคือทรัพย์สมบัติมหาศาล”

   “ชื่อตา ภรรยาเป็นคนตั้งให้ ต.เต่า สระอา มันคล้องจองกับปัญญา เขาบอกว่าหน้าตาผมเหมือนตุ๊กตาด้วย (หัวเราะ) บางคนเรียกโกตา นึกว่าผมเป็นจีนไหหลํา ส่วนชื่อและนามสกุลนี้ก็ไม่ได้มีมาตั้งแต่กําเนิดเช่นกัน ผมสร้างสรรค์มันขึ้นมาเองทั้งหมด อยากเป็นอะไรก็กําหนดมันขึ้นมา คําว่าปัญญานั้นแม่ผมท่านมองการณ์ไกล ก็ไปหาพระมาตั้งชื่อให้ลูกใหม่ ไม่เอาแล้วชื่อ เปียง มันเชย อายเขา (หัวเราะ)

   “หลังจากฝึกฝนวิทยายุทธ์ ได้รับประสบการณ์จากรั้วมหาวิทยาลัย ได้เล่นละคร 'ถาปัต เรื่อย ๆ ถือว่าเป็น ดาวดัง อันดับต้น ๆ อย่างถ้ายุครุ่นหลัง ๆ ก็จะเป็น ตัว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง พอจบปี 5 ชีวิตมันจะไปแล้ว จะคร่อม ๆ คาบลูกคาบตอกในแต่ละช่วงแล้วจะพาเราไป จนในที่สุดผมก็เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง ได้แสดงละครในบทพระเอกเรื่องแรกคือเรื่อง ศรีธนญชัย ทางไทยทีวีสีช่อง 3 จากการชักชวนของ คุณภัทราวดี ศรีไตรรัตน์ พร้อมกับแสดงบทพระเอกในภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์อีกหลายเรื่องมีชื่อเสียงคู่กับ คุณอรพรรณ พานทอง คุณเพ็ญพิสุทธิ์ คงสมุทรมันจึง มีภาษาที่อํากันในคณะสําหรับคนที่เข้าสู่วงการบันเทิง ที่ว่าถ้าคุณจบ 'ถาปัต จุฬาฯ ออกมาจะทําได้ทุกอย่างสารพัด ทําไม่ได้อยู่อย่างเดียวคือออกแบบบ้าน (หัวเราะ)

   “การเป็นสถาปนิกที่ดี 90% เขาตั้งอยู่ในออฟฟิศเขา แต่ไม่ได้มาออกทีวี จึงไม่มีใครพูดถึง ส่วนอีก 10% ที่มาโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง มีคนเห็นบ่อยๆ เขาก็บอกว่า คนโน้นคนนั้น จบจาก 'ถาปัตฯ จุฬาฯ จึงทําให้มันดูเยอะ ที่จริงแล้วไม่ได้เยอะอะไร หากเทียบจากจํานวนแล้ว คนพวกนี้เมื่อเข้ามาอยู่ในวงการ มันชอบฉีกแนวสร้างสรรค์มันเลยโดดเด่น ผมจบสถาปัตย์ออกมาทําอยู่ 2 โปรเจ็คท์ มืออกแบบบ้านหลังหนึ่งกับออกแบบศาลาธรรมโรจน์วินิจ วัดมักกะสัน เรารู้ว่าสิ่งที่ใช่คืออะไร ไม่จําเป็นต้องมาทําทุกอย่าง ถ้าเราต้องการสิ่งที่มันสําเร็จแล้วมันดีที่สุดในเวลานั้นมันต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง

   “ฉะนั้นการออกแบบอาคารเวิร์คพอยท์ฯ เราอย่าดันทุรังออกแบบเอง เราอยากให้มันดี ก็ดึงคนที่เก่งที่มีความสามารถมาสร้างสรรค์ เราไม่สามารถที่จะเด่นดังได้คนเดียว เพราะฉะนั้นเวิร์คพอยท์ ฯ จึงเป็นทีมเวิร์ค จุดเด่นของเวิร์คพอยท์ ฯ คือไม่มีใครเด่นคนเดียวและเราให้ความสําคัญกับนโยบายในการทํางาน

   “ก่อนหน้านั้น ผมเป็นนักแสดงอยู่กว่า 10 ปี รับบทพระเอกมาตลอด มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีความตั้งใจมาก่อน แต่เมื่อตัวเรามั่นใจตัวเอง แล้วคิดว่าใช่ เราก็จะทําได้อย่างเต็มที่ แต่พอเราไปเป็นพระเอก ความรู้สึกของเรามันไม่ใช่พระเอก เป็นแค่พระรองคือรองจากพระเอกในยุคนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น มิตร ชัยบัญชา, สมบัติ เมทะนี, กรุง ศรีวิไล, ยอดชาย เมฆสุวรรณ, สรพงศ์ ชาตรี, หนังไทยสมัยนั้นต้องยิงกัน ต่อยกัน กล้ามใหญ่ ๆ หน้าตาหล่อ ๆ จึงจะเป็นพระเอกได้ แล้วผมเหรอ เขาเอาเราไปยิงไปต่อยเราก็อายเขาอีกแล้ว ก็เขิน ๆ ต่อยกันประมาณ 5-6 เรื่อง เขาก็ไม่เอาแล้ว แต่เขาก็มาจ้างเราอีก เมื่อเราปฏิเสธไม่รับ เขาก็หาว่าเราหยิ่งเพิ่มค่าตัวให้อีก (หัวเราะ)

   “เขาจ้างเรามาเป็นพระเอกนักบู๊ เพราะความสามารถ เราก็คิดมากไปหน่อย ซึ่งจริงๆ มันไม่เกี่ยวกัน มันเป็นการเปลี่ยนยุคของภาพยนตร์ไทย อย่างภาพยนตร์เรื่อง กองพันทหารเกณฑ์ออกมาหลายภาค ผมต้องโกนหัวแสดง จากนั้นก็เริ่มดัง หนังที่ผมเล่นทุกเรื่องทําเงินเป็นสิบ ๆ ล้านทุกเรื่องในยุคนั้น แล้วมาเล่นเรื่อง เกมมหาโชคลูกหนี้ทีเด็ด ข่าวหน้า 1 เล่นหนัง ของคุณชรินทร์ นันทนาคร เล่นกับพี่เอก สรพงศ์ เล่นกับคุณนก สินจัย โอ้โห ชีวิตคนเรา ทําไมมันไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือนี่

   “ผมเล่นเป็นพระเอกอยู่หลายเรื่อง แต่ดันคิดมากไป ถ้าไม่คิดอะไรมาก เราก็ยังเป็นตัวเอกอยู่มีความรู้สึกว่าเล่นเป็นพระเอกแล้วเราไม่หล่อรู้สึกเขิน ๆ ตัวเอง ก็เลย จบจากอาชีพนักแสดงภาพยนตร์ตรงนั้น แต่ไม่ได้เป็นทุกข์นะ กลับเป็นความสุขมากกว่า”

จากลูกจ้างสู่นายจ้าง

   “ช่วงนั้นผมไปเป็นพิธีกรรับจ้างรายการทีวีให้กับ บริษัท JSL อยู่หลายปี แต่ละครโทรทัศน์ก็ยังแสดงอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว จึงเล่นได้นาน ไม่ว่าผมจะเล่นตัวไหน เรื่องอะไร ผมมักจะได้รับรางวัลทุกครั้ง เล่นละครก็ได้ เป็นพิธีกรก็ได้เยอะแยะถือว่าโชคดี แต่ปัจจัยสําคัญ เราต้องรู้จักตัวเอง ทั้งการเล่นละครหรือการเป็นพิธีกร ต้องมองให้ออกว่าอันนี้เป็นงานทั้งหมด มันเป็นเรื่องของเซ้นส์ในการก้าวไปสู่จุดสูงสุดให้ได้ เพราะมันทําทุกวัน เหมือนผมซอบเขียนรูปสีน้ํา ผมก็จะเขียนทุกวัน แล้วจะรู้ว่ารูปที่เราเขียนมันสวย มันลงตัว มันก็จะเกิดความมันอย่างหนึ่ง

   “ทุกวันนี้เมื่อมาเปิดบริษัทเอง ผมทํารายการทีวีอย่างนี้ทุกวัน มันก็ซาติสต์นะ (หัวเราะ) มันเหนื่อย การสร้างสรรค์รายการก็เช่นกัน อะไรก็แล้วแต่เราห้ามทําซ้ำกัน คิดพล็อตเรื่องราวใหม่ ๆ ในแต่ละวันโดยไม่ลอกเลียนแบบใคร แค่ถ้าคุณคิดจะลอก คุณก็แพ้ตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งมันยาก แต่พอเราคิดได้ปั๊บ เฮ้ย มันตีเว้ย เราดูแล้ว มันมีความสุข

   “ส่วนใหญ่ชีวิตผมจะไม่ยึดติดกับอะไรเลย ไม่เป็นไร อย่างไรก็ได้ ก็ทําไปเรื่อย ๆ สงสัยเบื้องบนคงจะมองเห็นก็ผลักดันผมมาเรื่อยจูงมือมาบ้างบางที่ไม่เชื่อ ก็ล็อกคอผมมาเลย ซึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่เราก็ทํางานของเราให้เต็มที่ทุกครั้ง รับผิดชอบสิ่งที่เราทําให้ดีที่สุด แล้วเราสนุกกับงานที่เราทําอยู่ตลอดเวลามาเป็นพิธีกรรับจ้าง เราก็ทําอย่างเต็มที่ ก็ได้รับความสําเร็จวันหนึ่งก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก เบื้องบนบอกว่าไปเปิดบริษัทได้แล้ว (หัวเราะ) จึงมาเปิดบริษัทเวิร์คพอยท์ ฯ ขึ้นมา สุดท้ายก็มีทีมงานทํารายการเวทีทอง แล้วก็มาทํารายการชิงร้อยชิงล้านเป็นรายการแรก ๆ แล้วยาวมาเรื่อย ๆ

   “การเป็นเจ้าของงานกับเจ้าของบริษัท และการเป็นผู้ถูกว่าจ้างรับงาน ไม่เหมือนกันมันแตกต่างกันมาก เมื่อเราเป็นพิธีกรหรือไปเป็นนักแสดง พอเขาสั่งคัท ! เราก็นั่งคุยกันสนุกสนาน ผลงานที่รับผิดชอบไปแล้ว แต่ผลงานรวมเราไม่ได้เป็นผู้ลงทุน เป็นพิธีกรก็สวมบทอีกแบบหนึ่ง แต่เมื่อปัญญาเป็นเจ้าของบริษัท โอ้โห อันนี้ฉากต้องใหญ่มาก อย่างนี้ยากอย่างนี้ง่าย มันจะเป็นกังวลไปหมด บังเอิญทุกรายการมันโดนไปหมด ผลตอบรับดี บวกกับโชคดี เป็นจุดจุดหนึ่ง ที่มีส่วนประกอบต่าง ๆ ประกอบด้วยทรัพยากรบุคคลของตนเอง โซว์เอง โอกาสเอื้ออํานวย ของผู้หลักผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน ระบบเศรษฐกิจ ระบบการลงทุน อะไรก็แล้วแต่ มันต้องรวบรวมกันให้เกิดความพอดี ก็เลยพากันไปได้

   “แต่ทั้งหมดทั้งมวล เมื่ออยากจะประสบผลสําเร็จ มันต้องอยู่บนพื้นฐานหรือมูลฐานแห่งความเป็นตัวของคุณอย่างชัดเจนว่าคุณได้รู้จริงรู้แจ้งเต็มตัวของคุณเองหรือยัง คุณจะทําอันนี้ได้ดีขนาดไหน ไม่เคยมีใครบอกว่าใครดีกว่าใคร ของคุณได้ดีแค่ไหนคุณไม่ต้องมีคนนั้นหรือคนนี้ คุณก็มีคาแรกเตอร์ของคุณได้ คุณก็สู้เขาได้ สิ่งเหล่านี้มันอยู่บนพื้นฐานของตัวคุณ บางคนอาจจะไม่รู้จักตัวตนของเรา แล้วเราก็ชอบที่จะพรีเซนต์ออกมาแบบนี้ เพราะฉะนั้นการเป็นพิธีกรของแต่ละบุคคล เขาจะเป็นแบบใดเราไม่รู้ แต่เราพรีเซนต์มาเป็นแบบนี้ เราคิดว่ามันดีที่สุด เราคิดว่ามันใช่ และมันน่าจะได้มันจึงเป็นตัวเราประกอบกับมีองค์กรต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุน ก็เลยโชคดีไปมันอาจจะมีผิดหวังมีสมหวังสําเร็จหรือไม่สําเร็จก็ยังเป็นประโยชน์อันไหนดี เราก็เก็บเอาไว้เพื่อเป็นความทรงจํา อันไหนไม่ดีเราก็ทิ้งมันไป”

หุ้นส่วนความสําเร็จ

   “พูดถึงจิก ประภาส ชลศรานนท์) เขาเป็นรุ่นน้องร่วมคณะ ก็ห่างกัน 5 ปี แต่ผมเป็นคนชอบคนเก่ง ชอบคุยกับคนเก่ง ๆ แล้วเรามีความสุข คุยกับคนไม่เก่งก็มี ความสุขนะ มันจะทําให้เรารู้ว่าความไม่เก่งคืออะไร ความเก่งคืออะไร เพราะฉะนั้น ผมจะเปิดใจรับความคิดเห็นของทุก ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่บังเอิญผมกับจิกจูนคลื่นตรงกัน และเราเป็นคนครีเอททั้งคู่ รู้หน้า รู้หลัง โต้ตอบกันได้อย่างเต็มที่ ตื่นตัวตลอด เพื่อสร้างสรรค์ร่วมกัน แต่จิกเขาจะถนัดในเรื่องของการขีด การเขียน ดนตรี การแต่งเพลง ไอ้เราถนัตการคิด การพูดให้ผมไปเขียนแบบเขา ผมก็เขียนไม่เป็น ให้จิกไปเป็นพิธีกรแบบผม เขาก็พูดไม่เป็น แต่มันอยู่บนพื้นฐานที่เราต่างคนต่างคิดเป็นทั้งคู่ เราต้องคุยกันมันสามารถเอื้อหรือขัดแย้ง เพื่อกลับมาสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ได้ตลอด

   “เวลาประชุมจะเหมือนมีสงครามจะยิงใส่กันตลอด เฉพาะเวลาประชุมเท่านั้นนะ จะใส่กันแบบไม่ต้องมานั่งเกรงใจกันเพื่อหาบทสรุปที่ดี แต่ในเรื่องของความคิด ต้องยอมรับจิกในแง่ของปรัชญา มุมมองต่าง ๆ นี่ถือว่าสุดยอดลึกซึ้ง ผมโชคดีที่มีคู่คิด ถ้าผมเป็นเจ้าของบ้าน เขาก็เปรียบเสมือนพ่อครัว คนทําอาหารหาวัตถุดิบมา ควรใส่เครื่องปรุงอะไร ตรงไหนใส่มาก ใส่น้อยแค่ไหนจึงจะอร่อยถูกปาก เมื่อผมซิมแล้วอร่อยถูกปาก ผมก็จะนําอาหารจานนี้ออกไปเสิร์ฟ ไปขายนําเสนอได้อย่างสมบูรณ์

   “เพราะเราสองคนจะเข้าใจว่าทําไมต้องกินอาหารจานนี้ แต่เรามีวิธีการนําเสนอว่าให้คุณลองชิมอาหารชุดนี้สิเพราะคุณเหมาะกับชุดนี้จริง ๆ แล้วคุณจะได้อะไร เรารู้ว่าคนกินชอบกินอะไร ให้รสชาติมันผสมผสานอย่างลงตัว แต่ที่เราแย้งกันมันก็มีนะ มันเป็นระบบที่แตกต่าง เหมือน หยิน-หยาง นั่นแหละความ คิดแปลกคิตต่างของจิกเขาจะมีมุมมองแปลก ๆ มันจะซ้อน ๆ กันแต่ถ้าพูดให้ชัดเบื้องหลัง จิกจะมีมากกว่า การวางแผนอะไรต่าง ๆ แต่เบื้องหน้า เป็นหน้าที่ของผม ผมจะมีมากกว่า แล้วมาซ้อน ๆ นํามาเชื่อมให้อยู่ตรงกลาง เพื่อเติมเต็มให้กลมกลืน ของพวกนี้มันต้องโยนใส่กันได้ และต้องรับให้ทัน

   “บางที่เราฟังคํานี้จากเขา เรารู้เรื่องคนเดียวแต่น้อง ๆ ทีมงาน อาจจะฟังไม่ออก เราก็ต้องนํามาถ่ายทอดอารมณ์ของการครีเอท สร้างสรรค์งานแต่ละอันออกมาให้ได้มันก็เป็นความมันอีกอย่างหนึ่ง ทัศนคติ วิธีคิด เรื่องงานของผม มันจึงมีอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอย่างนี้มา 20-30 ปีแล้ว ตีหรือไม่ดีผมไม่รู้ ทําแต่งานเพราะฉะนั้นความสุขอยู่ที่ไหนมันอยู่ตรงนี้ไง แต่ถ้าไม่ได้ทําที่เป็นทุกข์ เพราะความสุขของแต่ละ คนจะไม่เหมือนกัน เราต้องมองให้เป็น

   “คนที่ทํางานมากที่สุด เขาอาจจะไม่มีความสุขเลยก็ได้ หรืออาจจะมีความสุขก็ได้ คนที่ไม่ได้ทําอะไรเลย แล้วมีความสุข ผมก็ไม่สงสารเขานะ เพราะถ้าเขาไม่ลองทําเขาจะไม่รู้หรอก เขาอาจจะพิสูจน์หรือค้นหาอะไรอยู่ก็ได้บางคนรวยเอยบางคนทํางานเยอะต่าง ๆ เหล่านี้อย่าไปอิจฉาเขา มองเขาให้เป็นมองเราให้เป็น เราอยากเป็นอะไรก็เดินไปตรงนั้น เป้าหมายของคุณคืออะไร ส่วนของผมงานนี้ออกมาดี ถูกต้อง เก่ง ยกย่อง นับถือ รายการนี้ตั้งได้ ก็เฮโลสาระพา มันจะเกิดความหลากหลาย เพราะเป้าหมายของเราคือ ความสําเร็จของงาน”

ทํางานเป็นระบบ

   รางวัลทั้งหมดที่ได้มา ผมเก็บไว้อย่างดี อยู่ที่ตู้โชว์ออฟฟิศชั้น 5 การประสบผลสําเร็จทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความสําเร็จเหล่านี้ก็แล้วแต่มุมมองเขาว่า เราสําเร็จ ก็สําเร็จไปเราก็คิดว่าเป็นงานในอาชีพ ความสําเร็จเหล่านั้นมันเป็นหัวโขนอันหนึ่งที่รักมาก เป็นจุดจุดหนึ่ง ที่เราต้องทําต่อ ๆ ไป เมื่อก่อนเราไม่เข้าใจ พอทํางานไปเรื่อย ๆ มันเริ่มได้รับรางวัลจากวงการทีวีปุ่บ ทําไมต้องได้รับรางวัลด้วย ทําไมมันถึงโชคดีอย่างนี้ ทําดีต้องได้รับรางวัลด้วยเหรอ

   “เมื่อทําดีเดี๋ยวรางวัลมันก็มาเอง เพราะฉะนั้นใครอยากได้รางวัล ก็ทําตีเยอะ ๆ เพราะการทํางานทางด้านศิลปะเหล่านี้ มันต้องใช้พลังกาย พลังสติ พลังปัญญาเยอะมันทั้งยากทั้งง่าย สิ่งที่ผมอยากจะทํานั้นยังมีอีกเยอะที่ยังไม่ได้ทํา ผมเป็นปัญญาที่ผู้คนชื่นชอบ ในนามของ ปัญญา นิรันดร์กุล ก็เป็นปัญญาที่ไม่ได้เก่งไปกว่าคนอื่น ผมต้องรู้ตัวเองว่าถนัดอะไร รู้จักเรื่องราวต่างๆ ที่คนอื่นเขาถนัด อย่างเขาถนัดเรื่องตีกลองอย่างเดียว เขาไม่ต้องไปทําอย่างอื่นแล้ว แต่ปัญญาเป็นคนทํารายการทีวี มันก็พอเพียงแล้ว

   “บางครั้งผมเองก็เคยท้อเหมือนกัน ผมจะท้อแปลก ๆ มาก ผมท้อว่าตกลงมันจะพาเราไปถึงไหน ก็ยังไม่จบนะ ตั้งแต่ที่ทํามาเงินก็เยอะ รายการที่แยะ คนก็เยอะแยะ แล้วจะพาเราไปถึงไหนกันเนี่ย มันเป็นเพียงแค่มุมมอง หลาย ๆ ยุคที่เราอยู่ในช่วงวัยเด็กกว่านั้น มันก็คิดได้แค่นั้น เมื่อเติบโตขึ้น เราก็เปิดรายการอีกนิดหนึ่ง ซึ่งมันก็ทําได้ มันไม่ใช่เรื่องงานอย่างเดียว

แต่มันเป็นเรื่องของชีวิตของเราที่จะไปทําอะไร ที่เป็นประโยชน์กับตัวเรากับครอบครัว กับทีมงานหรือ ประโยชน์ของสังคม มันก็เลยทําให้การท้อ เปลี่ยน เป็นพลัง คนอื่นเขาท้อ ที่ไม่มีอะไร แต่ของผมท้อ ที่มีเยอะ ท้อเยอะขนาดนี้แล้วเราจะเอาอะไรนักหนา เมื่อทํางานก็ยังเป็นประโยชน์ได้ ก็เลยทําต่อไป

   “ถามว่าเหนื่อยไหม มีอะไรบ้างที่ทําแล้วไม่เหนื่อย แล้วเหนื่อยมันคืออะไร เวลานั่งนาน ๆ ยังเหนื่อยเลย ยิ่งไม่ได้ทําอะไรมันยิ่งเหนื่อย เราต้องมองกลับไป จุดนั้นมีอยู่บางรายการที่ผมหายไปจากหน้าจอทีวีช่วงหนึ่ง นั่นก็คือวิธีการทํางาน มันไม่ใช่เรื่องที่เรากําหนดได้อย่างเดียว มันต้องมีระบบความเติบโตของธุรกิจเข้ามาด้วย เพราะเป็นบริษัทมหาชน ทําตามใจไม่ได้ เราโดดลงมาตรงมหาชน มันก็ต้องตั้งเพราะระบบ มหาชนคือระบบทุน ระบบทุนคือระบบระดมทุนจากยอดกําไร กําไรน้อยหรือกําไรมาก เราก็ต้องวางฐานทิศทางว่าจะทําอะไรดี

   “หลักการทํางานของปัญญาตั้งแต่การเป็นพิธีกรแล้ว เราจะใช้ระบบตัวเราเป็นตั้งเทียน ผมเปรียบตัวเองเป็นเทียนไข เทียนเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เวลามีพิธีมงคลต่างๆ จะต้องมีเทียนแล้วก็จุต แต่เมื่อจุดเทียนแล้ว เทียนจะค่อย ๆ ละลายหายไป ผมก็จะละลายตัวเองเพื่อให้คนอื่นเด่น ฉะนั้นใครที่เป็นพิธีกรร่วมกับผม เขาจะเด่นมาก อย่างสมัยรายการ พลิกล็อค พีดี ดอกมะดัน จะเด่นมาก หรือไม่ว่าจะสมัยใดก็แล้วแต่ ปัญญาจะเป็นตัวยืน ภาษาตลกเขาเรียกตัวปู แล้วมีตัวเก็บ เป็นตัวตบมุข เราก็ให้เขาเก็บ ตรงนี้จะเห็นว่าตัวเก็บก็จะเด่นตั้งไป เราก็จะเป็นเจ้าพิธีที่ต่างออกไป แต่สุดท้ายเจ้าพิธีก็จะเป็นคน ๆ ไป

ทําทุกอย่างเพื่อคนรอบกาย

   “ฉะนั้นความสุขของผมคือการได้ทํางานที่ตนเองถนัด และเห็นแม่มีความสุข ผมยิ่งทวีความสุขไปใหญ่ อยากให้ท่านมีความสุขทุก ๆ วัน เวลานี้จึงให้แม่มี อาชีพเที่ยวรอบโลก เป็นอาชีพไป (หัวเราะ) ท่านชอบไปเที่ยวเมืองจีน แต่ถ้าในประเทศ ท่านจะมีก้วนของท่านเอง เพราะแม่อายุมากแล้ว ท่านจะมีก๊วนออกไปทําบุญล้างป่าช้า ครอบครัวก็เช่นกัน ถ้าเจอกันแล้วมีความสุข เราจะเดินทางไปต่างประเทศด้วยกัน อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา อยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา แต่การที่ผมอยู่บ้าน 70-80% มันเลยจุดที่จะไปตระเวนตรงนี้ไปแล้ว การพักผ่อนที่ดีที่สุดของผมคือการตรวจงาน นั่นคือความสุข โดยเฉพาะการวาดภาพสีน้ํา เราจึงมีโลกส่วนตัวของเราเวลาเราวาดรูปเราก็มีสมาธิ จิตมันจะนิ่งสงบ สนุกสนานมาก เขียนไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เก่งอะไร แต่เราสนุกกับงานที่อยากทํา ส่วนกีฬาก็จะดีกอล์ฟ แต่ตอนนี้ตีน้อยลง จะไปออกกายบริหารบ้าง

   “แต่เท่าที่อยากทําจริง ๆ คืออยากให้ลูกได้พาไปรับประทานอาหารอร่อย ๆ พาไปเที่ยวตามห้างสรรพสินค้า เพราะไปเองไม่ได้ เวลาไปคนเดียวมันเป็นเป้าใหญ่ แต่เวลาไปมันก็มีความสุขที่มีคนมาทัก แต่เดี๋ยวนี้เราก็ไปทักเขาเลย จะได้มีชีวิตร่วมกันไป

   “สําหรับข้อแนะนําว่า ถ้าใครก็ตามที่อยากเข้าสู่วงการบันเทิงไปเป็นดาราหรือพิธีกร หรืออะไรต่าง ๆ คุณต้องหาตัวเองก่อน คุณอยากจะเข้ามาทําไม อย่าไปทําตามกระแส เห็นคนอื่นเข้าก็อยากเข้าตาม ถ้าคุณอยากเข้ามาก คุณได้เป็น แต่ถ้าคุณไม่อยากเข้าไป ก็อาจจะได้เป็นบ้าง แต่คุณอยากเป็นจริง ๆ คุณได้เป็นแน่ แต่จะเป็นยาวเป็นนานก็ต้องไปว่ากันอีกที อยู่ที่ตัวตนของคุณเองนั่นแหละจะเป็นตัวบอก เมื่อเป็นแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนการพัฒนาของคุณ แล้วประสบการณ์จะช่วยได้ ภาษาพูดเขาเรียกว่าชั่วโมงบินสําคัญมาก ชั่วโมงบินจะสอนคุณในด้านนี้ที่เป็นประโยชน์จริง ๆ นําสิ่งไม่ดีและส่วนที่มาพัฒนาตัวคุณให้ดีที่สุด แล้วคุณจะอยู่ได้นาน

   “การอยู่ได้นานในสังคมไทย คุณต้องมีความรับผิดชอบมีสัมมาคารวะ มีเมตตา จิตใจงดงาม แต่ถ้าคุณหาตัวตนของคุณไม่เจอ ตกลงฉันจะทําอาชีพอะไรก็แล้วแต่ คุณสนุกกับงานตอนไหน เราทําอย่างนี้แล้วมันสนุก นั่นแหละตัวตนของคุณ พัฒนาตัวเองไป ถ้ามันไม่เด่นก็ทําเป็นงานอดิเรกได้ งานอดิเรกที่คุณชอบ เมื่อคุณทําคุณก็มีความสุขแล้ว เหมือนกับปัญญาก็ คือบุคคลคนหนึ่ง ที่ทํางานสรรหาสิ่งใหม่ ๆ เราไม่ได้ไปทําร้ายใครหรือไปกลั่นแกล้งใคร เราก็กําหนดของเราไป คุณกําหนดตัวตนของคุณขึ้นมา แล้วลงมือทําลงไป แม้โอกาสของคุณอาจจะไม่ดีพอก็ต้องรอมัน ก็เวลารอก็ไม่ต้องไปสาปแช่งใคร รอก็ไม่ต้องไปคดโกงใคร รอก็ไม่ต้องไปหักหลังใคร หรือเอามีดไปแทงใคร

   “แต่การรอของคุณไม่ใช่คุณอยู่เฉย ๆ ไม่ทําอะไรเลย คุณก็ทําอะไรของคุณไปรอจังหวะเวลาที่มันจะมา เมื่อมันมามันจะมามหาศาล ไหลมาเทมาไม่มีหยุด แล้วเมื่อไหลเข้ามาแล้ว คุณต้องกักเก็บไว้ คุณก็ต้องรู้ต้องมีสติว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันมาด้วยอะไร ไม่ใช่ว่ามาแล้วมัวไปหลงระเริงกับมัน มันก็จะอยู่กับเราได้ไม่นาน คุณก็อย่าไปหลงระเริงกับมัน ทําต่อไปแล้วต้องรู้จักการให้รู้จักการแบ่งปัน มันจะเป็นความสําเร็จร่วมกัน เป็นความสําเร็จที่อยู่นาน แล้วทุกคนก็จะได้ความสําเร็จแน่ ๆ ถ้าคุณมีจิตใจมุ่งมั่น ที่จะเชื่อตัวเอง” 

ระฆังไม่มีวันหมดยก "ปัญญา นิรันดร์กุล"