อีกด้านของตัวตน ที่บรรลุจากธุลี - ชาติฉกาจ ไวกวี

อีกด้านของตัวตน ที่บรรลุจากธุลี - ชาติฉกาจ ไวกวี

Bright Side of The Man : อีกด้านของตัวตน ที่บรรลุจากธุลี

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น... เมื่อเอ่ยถึงชื่อชายคนนี้ หลายคนจะนึกถึงความยียวนและความ(รุน)แรงของเขา ทั้งด้านการแสดงออก และวาจา เมื่อยามให้สัมภาษณ์ตามสื่อต่าง ๆ แต่ในความกวน ความแรงนั้น เรากลับเห็นอีกด้านที่สว่างสดใส ความน่ารัก ความอ่อนน้อม แนวคิดดี ๆ และความชำนาญอย่างฉกาจในเรื่องการตลาดอย่างเข้มข้น

ชาติฉกาจ ไวกวี อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัย พิธีกรที่โด่งดังมาจากรายการ Youtube อย่าง Around Me ที่พาผู้ชมไปพบเรื่องราว ที่คนอาจมองข้ามและมุมที่เสียดสีสังคมจากเรื่องรอบตัวของเขาเอง เขาโด่งดังในอินเตอร์เน็ตมาพร้อม ๆ กับกลุ่ม Fedfe ซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อน Youtuber รุ่นแรก ๆ ของไทย เขาเป็นศิลปิน ช่างภาพ นักวิจัยเรื่องฟิล์มกระจกที่ดังระดับโลก และเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังอย่าง Truly ที่ตั้งชื่อมาจากคำว่าธุลี ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย

“ผมเป็นคนน่ารัก เป็นคนอ่อนโยน เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนสุภาพมีมารยาทรู้กาลเทศะ แต่ผมไม่รู้ว่าเวลาภาพที่ออกสื่อทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ผมเคยทำงาน ที่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็น 2 ประเทศ ที่โคตรเคารพในสิทธิเลย คิดแค่ว่าถ้าถามแบบหมาไปก็ตอบแบบหมา ๆ มาก็วินวิน ถามมาแบบผิว ๆ ก็ตอบกวนตีน ให้หน้าชากลับบ้านไปหน่อยละกัน แล้วก็ไม่สนด้วยว่ารุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก เพราะคิดว่าเขาไม่สามารถทำให้รายได้ของผม ลดลงได้ ยิ่งเป็นสื่อใหญ่ที่มีคนติดตามเยอะยิ่งจำเป็นต้องระวังตัว ในการสื่อสารในการเคารพสิทธิ มากกว่าการใช้ ยอดผู้ติดตาม Subscribe มาขยี้คนอื่น ผมว่าน่าจะเป็นแบบนั้น “ความอาวุโสมันต้องขึ้นอยู่กับที่คนต่ำกว่ามอบให้ ไม่ใช่คิดว่ากูอาวุโสกว่ามึง ผมว่าคนเราเจ็บกับความยึดมั่น ถือมั่น อะไรที่เราเคยยึดไว้แล้วเราวางมันลงมันน่าอาย ผมบวชไม่นานแต่ผมอยู่กับพระผมถ่ายรูปพระเดือนละ 2 รูป ความเจ๋งคือพอได้เจอพระระดับเกจิ มันเหมือนว่าได้เจอ คำสอน อย่างคำคมไอดอลหรือดารา เวลาถามอะไรไปลึก ๆ ก็ตอบเป็นนามธรรม มีแต่นามธรรมที่ใช้ไม่ได้จริง ประมาณคำคมในเน็ตแต่มาเจอพระท่านสอน คำพูดปัง ๆ แบบเหมือนโดนทุบตลอดเวลา”

กลับไปเยี่ยมวัยเยาว์

“คุณแม่ของผมตอนนี้ท่านอายุ 70 กว่า ผมก็เลย เปิดร้านกาแฟให้เขาได้ขยับ เขาเคยทำงานที่ญี่ปุ่นมา 10 กว่าปี เขาก็เลยคิดแบบคนญี่ปุ่นรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ไม่อยากให้คุณแม่ต้องเป็นคนแก่ที่มาอยู่ในโรงพยาบาลแพง ๆ อยากให้เขาใช้ชีวิตอย่างที่เขาอยากจะมี ให้เขาได้ขยับให้ได้ออกกำลังกาย

“ผมชื่อชาติฉกาจมาตั้งแต่เด็กครับ อันนี้ไม่เคยเล่า ให้ใครฟังเลยนะ ตอนเด็ก ๆ คือเขาขอชื่อมาจากพระให้พระตั้งให้ ท่านให้มาเป็น ช.ช้าง ฉ.ฉิ่ง และ ก.ไก่ ทีนี้คุณแม่ก็เลย เอามาผสมเองก็เลยเป็นชาติฉกาจ เป็นชื่อที่อายตอนเด็ก ๆ เพราะมันประหลาด ชื่อจริงดุมากเลย แต่ชื่อเล่นดันติ๋ม เพราะชื่อแอ๊ะ ตอนนั้นก็เขิน ๆ เวลาเพื่อนเรียกแต่ตอนนี้ผมภูมิใจกับทุกอย่างที่ผมมี

“ตอนเด็ก ๆ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่โดนฟ้องล้มละลายติดคุก ก็ระเหเร่ร่อนอยู่กับญาติคนนู้นคนนี้ สุดท้ายก็มา อยู่กับฝั่งครอบครัวของคุณพ่อ ก็ได้อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่นและรักผมมาก ไม่ได้ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาแม้ว่า จะมีปัญหาแหละ ตอนเด็ก ๆ ผมเรียนเก่งมาก สอบได้ที่ 1-3 ตลอด ทำกิจกรรมด้วยวาดรูป เต้นจินตลีลา ผมว่าผมเพิ่งมา เละเทะตอนช่วงม.ปลาย ในช่วงม.ต้นผมเรียนโรงเรียน สวนกุหลาบสมุทรปราการ เริ่มเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่งจากเด็กหัวดีมากในตอนประถม ตอนม.ปลายผมเรียนที่โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว

“ต้องบอกเลยว่าโรงเรียนเน้นกิจกรรมมากครับ ดนตรีกีฬาและก็มีเรื่องผู้หญิงเข้ามาด้วย ก็ไม่ค่อยได้เรียนครับ แต่โชคดีที่เอ็นทรานส์ติดที่มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง สาขาถ่ายภาพ ผมว่าการศึกษาของไทยมันมีสูตรครับไม่เหมือนกับฝรั่ง ของไทยคือต้อง จำเก่ง แล้วเรารู้ว่าระบบการศึกษาไทยต้องการอะไร เพราะเขาเขียนแบบเรียนให้เราเป็นฟันเฟืองไม่หือไม่อือ กับระบบอยู่แล้วไง มันไม่มีโรงเรียนไหนหรือที่ไหนบอกว่าสอนวิชาเป็นเจ้าของธุรกิจ

“เด็กคนไหนเอาของมาขายในโรงเรียน บอกว่าผิดกฎ บอกให้เป็นเฟืองที่ดีของระบบ คือสอนให้ อยู่ที่เดิมไปนาน ๆ คือผมเข้าใจเรื่องแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่มัธยมปลาย ผมเลยเข้าใจว่าทำไมพวกผมที่สนใจเรื่องสันทนาการถึงถูกตีค่าว่าก็เป็นแค่เด็กที่ทำกิจกรรม แปลว่ามันต้องเป็นวิทย์คณิตใช่ไหมถึงจะดูมีคุณค่ากับโรงเรียน แต่ทำไมเวลาเราไปแข่งอะไรได้ถ้วยกลับมาพวกคุณก็เฮวะ พวกคุณต้องการอะไรวะ ก็เลยเข้าใจว่าอ๋อ เราเป็นแค่เฟืองที่หมุนให้พวกเขาอยู่

“ผมว่าผมได้แนวคิดที่ดูเป็นผู้ใหญ่เพราะการ์ตูนที่ผมอ่าน สอนเรื่องโลกแห่งความเป็นจริงเยอะ คือหนังสือการ์ตูนเรื่อง Black Jack คนเขียนคืออาจารย์เท็ตซึกะ โอซามุ ผู้เขียนเจ้าหนูอะตอม คือ Black Jack เป็นหมอแต่ว่าเป็นหมอที่เป็นผู้ร้าย ซึ่งออกมาในลักษณะเดียวกับตัวละครสมัยนี้ก็คือ โจ๊กเกอร์ ที่ตอนนี้ทุกคนก็หลงรักกันไปหมด เพราะว่าคนดีจริง ๆ แล้วก็อยู่บนความตอแหลนะ คนดีที่เราเห็นกันทุกวันนี้ มาอยู่เป็นคนที่ดูไม่ดีแต่จริงใจให้กันดีกว่าไหม”

มหาลัยชีวิต สอนให้เป็นนักสู้

“ตอนสมัยเรียนผมอินกับครูบาอาจารย์และความรู้ที่พวกท่านมอบให้ผมมามากกว่า ผมไม่ได้ รักสถาบันและก็ไม่ได้เข้าชมรมเชียร์อะไรด้วย ตอนเรียนผมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร ลาดกระบังสอนให้ เอาตัวรอด สอนให้ทำงานคนเดียวได้ เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้มี Connection อะไรมาก อย่างที่เรารู้กัน ว่ารุ่นพี่ศิลปากรที่ออกไปแล้วประสบความสำเร็จ มาดูงานเรียกน้องให้ตามไปทำงาน จุฬาฯ ก็เช่นกันในช่วงนึงเราจะเห็นคนที่อยู่ GTH เป็นจุฬาหมดเลย

“แต่เรายังไม่เจอของลาดกระบัง ส่วนใหญ่คนที่จบที่นี่ก็กระจายไปทั้งหมด เขาสอนให้เราเป็นนักสู้ มีความอึดความถึกไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะคณะผมหรือว่าเป็นกันทั้งมหาลัย เราเป็นมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ แต่เวลาเราจะไปดูงานในเมืองเราต้องเรียกว่าเข้าเมือง ต้องนั่งรถไฟไปต่อรถเมล์ ผมเลยรู้สึกเหมือนว่าเขาฝึกให้เราเป็นหน่วยซีลทางด้านวิชาชีพ ลาดกระบังก็เลยเหมือนสอนให้เราพร้อมรบ ในรุ่นผมนะสมัยนี้ผมไม่รู้ อย่างสมัยนี้เด็กบางคนยังตั้งขาตั้งไม่ถูกเลย พื้นฐานที่ดีมันทำให้เราต่อยอดในอาชีพเราไปได้ไกลที่สุด แต่ถ้าเอาตอนจบของคนอื่นมาเป็นพื้นฐาน มันจะไม่มีพื้นฐานที่แท้จริงครับ

“หลายคนอาจจะคิดว่าภาพถ่ายในตอนนี้เป็น Activity เป็นฮอบบี้เป็น Accessory ซึ่งมันไม่ผิดเลยนะครับ ผมว่าแต่ละคนก็มีเหตุผลในการทำแต่ละอย่างกันคนละแบบ ผมเคยคิดอคติกับคนรวยที่ชอบเก็บสะสมกล้องถ่ายรูปแต่ถ่ายรูปไม่เป็น จนวันหนึ่งพื้นฐานชีวิต ผมดีขึ้น ผมก็ซื้อกีตาร์ที่ผมเล่นไม่เป็น ที่นักดนตรีจริง ๆ ไม่ซื้อมาเพราะมันแพง ก็เลยอ๋อเข้าใจแล้ว ผมขอโทษคือแต่ละคนมีเหตุผลไงเราอคติ

“ผมไม่ได้คิดว่าผมถ่ายรูปเพราะเป็นงานศิลปะอันนั้นเป็นข้ออ้างมาก ผมถ่ายรูปเพราะต้องใช้มันทำมาหากิน มันคือวิชาของช่างที่ผมต้องทำ ผมมีหนี้ของกยศ. มีหนี้ของพ่อแม่ ที่ล้มละลายอีกเป็นล้านผมก็เลยเริ่มนั่งดูว่ารุ่นพี่คนนี้ถ่ายภาพแนวนี้ได้วันละ 3,000 บาทนะ อีกคนนึงถ่ายรูปแฟชั่นได้วันละ 8,000 บาท พี่คนนี้ถ่ายโฆษณาได้จ๊อบละ 50,000 บาท โอ้โห มันมีการถ่ายรูปที่ใช้เวลาเท่ากันแต่ได้เงินต่างกันขนาดนี้ด้วยเหรอวะ คือเราสนใจเรื่องตัวเงินในอาชีพ เพราะเป้าหมายของเราคือความร่ำรวย ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงจะพูดว่าผมอยากเป็นศิลปินถ่ายรูปที่มีความสุข แต่สำหรับผมไม่ครับผมอยากร่ำรวยจากการถ่ายรูป

“ความรู้ที่ครูบาอาจารย์ให้ผมมา ผมว่าท่านคงภูมิใจ สมมุติวันหนึ่งผมขับรถกลับไปที่มหาวิทยาลัย คุณครูที่รักผมก็คงจะชื่นชมว่ารถสวยนะ แต่ถ้าเป็นคนที่เขาหมั่นไส้เกลียดผมเขาก็คงจะบอกว่ามันขับรถมาเต๊ะที่มหาลัย อยู่ที่มุมมองของมนุษย์คนนั้นเลย คนที่ไม่มีอคติจะยินดีกับคนอื่น การยินดีกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันยากสำหรับบางคน”

ในความเป็นครู

“ครูบาอาจารย์คำนี้ยิ่งใหญ่มาก วันที่เคยเป็นครูนะครับ เป็นอาจารย์ประจำเป็นรองหัวหน้าภาค ผมว่าผมรู้สึกถึงความเป็นครูน้อยกว่าตอนนี้ แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้อยู่ในกระบวนการของการศึกษา มีคนขอบคุณสเตตัสเรา มีคนให้เราไปบรรยาย มีคนให้เราไปปัจฉิมนิเทศ วันสุดท้ายก่อนเรียนจบ ผมมักจะบอกว่ามันเป็นเกียรติที่คุณเอามาวางไว้บนตัวผม หนักจนรู้สึกว่าผมต้องชดใช้บุญคุณนี้ที่คุณยกคำนี้ให้ผม แปลว่าเมื่อเขาเอาคำนี้มาให้เรา เราต้องทำตัวไม่ให้ต่ำ หมายถึงว่าอย่าตกต่ำเราต้องเจริญขึ้นเรื่อย ๆ ผมต้องเจริญให้เขาเห็น ผมต้องเก่งขึ้นทุกวันทุกวัน เพื่อให้คนที่คิดอย่างนั้นเขารู้สึกว่าเขาคิดไม่ผิด ที่เลือกคนนี้เป็นครูบาอาจารย์

“ครูบาอาจารย์ไม่ควรตกต่ำควรเจริญให้เราเห็นเป็นแสงสว่างนำทางให้เราตลอด ถึงมันจะหนักขึ้นเหนื่อยขึ้น แต่ผมก็แบกเอาไว้ด้วยความสุขนะครับ มีความสุขมากที่ได้ถูกเชิญไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิตัดสิน Thesis อย่างนี้ หรือพูดในวันปัจฉิม ผมว่ามันมีเกียรติกว่าการส่งประกวดแล้วได้รางวัล สำหรับผมนะครับ การส่งงานประกวดคือการส่งงานเราไปแล้วเดาใจกรรมการว่าจะชอบอะไรในงานเรา ถ้าเราถูกใจเขา เราก็ได้รางวัลนั้นมา

“ผมเคยให้นักศึกษาสอบตกเพราะงานเขาไปลอกคนอื่นมา แต่ต่อมาเมื่อเขาเรียนจบเขาก็กลับมาขอบคุณผม เพราะถ้าผมไม่ทำอย่างนั้นเขาอาจจะกลายเป็นนัก Copy ไปแล้ว ขนมหวานมันกินง่าย กว่ายาขม ขนมหวานอาจจะจัดจานสวย กินง่าย แต่พอกินสะสมเข้าไปเยอะ ๆ มันจะทำให้เราเป็นโรคนะ คนไม่ชอบคนกินยาขมครับ”

ตัวกูของกูและตัวตนในโลกโซเชี่ยล

“ในโลกโซเชียล ผมว่าในความไม่จริงมันก็ซ่อนความจริงเอาไว้อยู่ อาจจะแค่อยากให้คนคนนึงมาสนใจโดยเราเพ้ออะไรไปสักอย่าง ซึ่งทำให้คนทั้งหมดมาเห็นเพียงเพราะอยากให้คนคนนึงสนใจ เราอาจจะต้องโพสอะไรที่เราไม่ได้อินแต่เพื่อให้เราดูเป็นคนรสนิยมดี ให้คนยอมรับ มันมีวิถีชีวิตที่ทำให้เราเหนื่อยและไม่เหนื่อยอยู่ในนั้น ผมยอมรับเลยว่าจริง ๆ แล้วเนี่ย Facebook มีบุญคุณกับผมมาก ผมอยากจะเอาหน้าคุณมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กมาห้อยเป็นล็อกเก็ตเลย

“พอเริ่มมี Facebook ผมก็เริ่มทำรายการ Around me ทำนู่น ทำนี่จนคนรู้จัก ผมอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่เล่น Facebook ไม่กี่คน ที่เล่นจนเป็นแบบนี้จนมีผู้ติดตามจำนวนมาก Facebook มันคือหนังสือพิมพ์มันคือหน้าข่าวที่ผมเขียนได้เอง ผมจะเขียนลงทุกวัน แล้วก็มีคนอ่านทุกวัน คนพวกนั้นก็เลยซัพพอร์ตผมด้วย เมื่อผมทำอะไรขึ้นมาสักอย่างนึง ช่วยอุดหนุนเพราะจะได้มีแรง มาเขียนมาโพสต์อะไรให้ดูอีก

“Facebook ผมใช้มันได้มีประโยชน์มาก ๆ ผมไม่ชอบกระแนะกระแหนพวกที่ใช้มันโดยไม่มีประโยชน์ไง อย่างถ้าคุณจะด่าใคร สักคนนึงคุณต้องไปตามเฝ้าดูเขา เสียเวลาไปเป็นวันแล้วก็ต้องไปนั่งนินทาเขาในวงเหล้าหาพวกมารวมตัวกัน มาเกลียดเขา สุดท้ายวันนึง อาจจะใช้ชีวิตโดยนึกถึงเขาวันละ 4 ชั่วโมง แต่ถ้ากลับกันเอา 4 ชั่วโมงนั้นไปทำเรื่องที่มีประโยชน์ อาจจะเปลี่ยนชีวิตได้เลย 4 ชั่วโมงนั้นเจริญได้นะ มันเป็นอเวจีที่เมื่อเราถูกดูดเข้าไปเราจะอยู่ในนั้นโดยที่เราไม่รู้ตัว มันจะหลง หลงคำสรรเสริญ หลงคำเยินยอ หลงการมีตัวตน หลงการทำให้คนคิดว่าเรามีความสุข ผมว่า มันเป็นอเวจีชั้น 1 เลยนะ

“อย่าเอามาตรฐานของคุณมาตัดสินใคร ผมมีมาตรฐานของผมคือการพัฒนาการ สมมุติว่าเด็กคนนี้เริ่มต้นเก่งสุดในชั้นเลย แล้วงานตอนปลายมันดรอปลงมา ผมว่านี่ไม่ได้มาตรฐาน เด็กคนหนึ่งที่เริ่มมาอ่อน แต่เราได้เห็นว่าเขาเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ผมว่าเขาได้ทำลายมาตรฐานของตัวเองล่ะ

“หลังจากไม่ได้เป็นอาจารย์สอนผมมักจะไม่รับเป็นกรรมการไปตัดสินอะไรใครด้วยรสนิยมส่วนตัว ที่ไม่น่าจะผ่านมาตรฐาน ที่ไปตัดสินชาวบ้านเขาได้ บางทีเราเห็นกูรูที่เขาเป็นคนขายกล้องแต่เขามาตัดสินภาพถ่ายว่าภาพนี้ดีนะภาพนี้สวยนะภาพนี้ดูมีอะไรนะ ผมก็จะรู้สึกว่าเฮ้ยเขามีมาตรฐานพอที่รู้เรื่องนั้นมากพอที่จะไปตัดสินใครเหรอ

“คนขายกล้องก็น่าจะขายกล้องไปสิ หน้าที่ของการขายกล้องก็มีศักดิ์ศรีอย่างเช่นรู้สเปกรู้วิธีนู่นนั่นนี่ ฟังก์ชั่นนู้นนี้จะทำให้ชีวิตของคุณสะดวกสบายมากขึ้นแค่ไหน แต่ผมว่าเขาไม่สามารถตัดสินได้ว่าภาพใครดีไม่ดี ภาพไหนสวยไม่สวย มันตลกนะ อย่างบางทีเห็นคนตัดสินคนด้วยรสนิยมส่วนตัว คุณจะรู้ได้ไงว่าคนนี้รสนิยมดี หรือไม่ดีจากรสนิยมของคุณ แล้วรสนิยมของคุณน่ะสรุปว่า คุณเอาอะไรมามั่นใจว่ามันดี

“ยกตัวอย่าง คนคนละกลุ่มเลยนะครับคนในวงการโฆษณา เป็น Creative มาตัดสินเด็กแว้น ว่ารสนิยมไม่ดี แต่คนที่เป็น Creative เองก็อาจจะถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งที่รวยกว่า คนที่เป็น Creative อาจจะมี รถโบราณ 1 คันแต่คนอีกกลุ่มหนึ่งอาจจะมีวางเรียงเป็นของเล่นเลย เต็มโรงรถที่บ้าน เขาก็อาจจะมองว่าคุณเป็นคนรสนิยมไม่ดีได้เช่นกัน ไม่จบครับ การตัดสินกัน

“ชีวิตเราเจ็บปวดเพราะเราเอาใจเขามาใส่ใจเรา เมื่อไหร่ที่เราเอาใจของเราไปวางไว้ในที่ใจคนอื่นเมื่อนั้นเราจะทุกข์ อย่างเรื่องเราอาจจะเกลียดคนนี้เพราะเขาไม่เป็นอย่างที่เราหวัง เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแต่เราคิดไปเอง แล้วเราก็ไปบอกคนนั้นคนนี้ว่าเขามันไม่ดีเราเกลียด ทั้ง ๆ ที่คนนี้อาจจะทำไม่ดีกับเราแค่คนเดียวก็ได้ อาจเป็นเพราะใจเราเองที่ไม่ได้ถูกใจเขา มันอยู่ที่คนกลุ่มไหนเซ็ตให้เป็นมาตรฐาน

“ผมเชื่อว่าทุกอย่างทุกสังคมในโลกมีการเมืองของมันอยู่ อยู่ที่ใครอยู่ในการเมืองใครเท่านั้น การเมืองไหนใครคุมการเมืองนั้น สำหรับผมการเมืองก็เหมือนมวยปล้ำครับคือเขานัดกันมาแล้ว ว่าใครจะชนะ ผมเลยไม่รู้ว่าการพูดอะไรในสเตตัสจะเปลี่ยนอะไรได้จริงหรือเปล่า มันไม่เท่ากับการลงมือทำอะไรบางอย่าง”

คำตอบที่อยู่ในกระดาษทด

“เพราะอะไรถึงแสวงหาโอกาสเพราะผมอยากรวยครับ ผมทำทุกอย่างที่เริ่มต้นเนี่ย ทำทุกอย่างจากการที่ได้ตังค์ ผมไม่มีอคติกับสิ่งที่ผมไม่ถนัด มีอะไรเข้ามาให้ทำผมคว้าไว้ก่อน ผมบอกเขาเลยว่าทำเป็นเอาไว้ก่อน อย่างกำกับ MV ครั้งแรก 40,000 บาท ได้ไหม ทำได้ครับ โฆษณาไวรัลตัวแรกที่ทำกับต้า Fedfe เขาก็ถามมี 40,000 บาท ได้ไหมทำได้ พอบอกว่าทำได้ ผมว่านะเดี๋ยวมันก็ทำได้เองแหละแต่จะดีไม่ดีมันก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะเราไม่ได้เรียนมาตรงสายนี่ ผมเริ่มมาจากการที่ทำงานเพื่อให้ได้เงินมันไม่ได้ทำจาก Passion ผมทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก่อน

“ผมว่างานที่เราทำแล้วสามารถเลี้ยงตัวเองได้เลี้ยงครอบครัวได้ เลี้ยงลูกน้องได้ผมว่า มันมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ความภูมิใจของแต่ละคนก็คนละแบบกันบางคนน่าจะรู้สึกภูมิใจมาก ที่ได้รับรางวัลที่ได้ถูกเลือก ปีที่แล้วเป็นปีที่ผมมีเกียรติมากเพราะสถานการณ์โควิดปีที่ผ่านมาไม่มีผลอะไรกับที่นี่เลย หมายถึงเรื่องเศรษฐกิจนะครับ ทุกคนได้โบนัสทุกคนไม่ต้องพักงาน ทุกคนสามารถทำงานได้ ไม่ต้องไล่พนักงานออกพนักงานมีจ๊อบพิเศษ ขายของได้เยอะกว่าเดิมแล้วก็รับสมัครพนักงานใหม่ และเตรียมพร้อมขยาย

“มันอาจจะดูน่าหมั่นไส้นะครับแต่เขาไม่รู้หรอกว่า หลังบ้านก่อนที่จะไปถึงความน่าหมั่นไส้ นั้นได้ ผมต้องแลกกับหยาดเหงื่อเลือดน้ำตามาขนาดไหน ความสำเร็จนี้ผมสมควรได้ มันคู่ควรไง แต่คนมักจะบอกว่าทำอย่างนี้มันดูกร่าง แต่คนที่บวกเลขแล้วได้คำตอบที่ถูกมันก็คือเรื่องเดียว กับที่ผมทำไง ผมกดสูตรติด ผมเจอคำตอบที่ถูกต้องไง แต่ก็จากการทดลองคำตอบที่ผิดมาแล้ว มากมาย คนที่เห็นคำตอบของผมในตอนนี้เขาก็อยากจะมาทำเหมือนผม อยากลงทุนทำเสื้อ เหมือนพี่แอ๊ะเลย แต่เขาไม่รู้หรอกว่ากระดาษทดของผมมีอะไร สิ่งสำคัญของผมคือ กระดาษทดครับ เป็นความลับที่คนในออฟฟิศไม่บอกใคร

“ถ้าได้เป็นนักการเมือง ผมอยากเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการครับ เพราะผมรู้สึกว่า ประเทศไทยมีแบบเรียนให้เด็กท่องจำมากเกินไป อย่างประเทศฟินแลนด์เรื่องการศึกษา เขาประสบความสำเร็จมาก เพราะเขาให้เด็กได้ทดลองในแบบต่าง ๆ นี่ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเคยเป็นครู ถ้าทำได้เราอาจจะมีหนังสือแบบเรียนที่เขียนโดยชาติฉกาจไวกวี คู่มือ การถ่ายภาพโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ สอนเกี่ยวกับมุมมองมากกว่า จริง ๆ เราไม่ต้องเรียนผ่านคู่มือก็ได้นะครับเพราะจริง ๆ มันมีแบบเรียนอีกตั้งหลายแบบ Truly ก็เป็นแบบเรียนอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้คนรู้สึกว่า ภาพถ่ายไม่จำเป็นต้องผ่านมาตรฐานของกูรูทั้งหมด แต่ชาติฉกาจขายได้ตลอดเลย

“ล่าสุดผมทำเสื้อ Fedfe เป็นคณะที่เมื่อก่อนก็จะนึกถึงพวก เพชฌฆาตความเครียด เขากลับมารวมตัวกัน ภาพที่ผมถ่ายหนึ่งภาพ ซึ่งเอาออกขายโดยที่ทุกคนยังไม่เห็นลายนะครับ Pre-Order ที่ หลักหมื่นตัว เท่ากับชาติฉกาจขายภาพได้หลาย Copy สมมุติเราคิดถึงความน่าหมั่นไส้ที่ช่างภาพอาจจะหมั่นไส้ผมนะ เสื้อตัวละ 666 บาท ภาพถ่ายหนึ่งภาพของชาติฉกาจจบที่ราคา ประมาณ สิบล้านบาทในเวลา 1 เดือน มันน่าหมั่นไส้ไหม กับช่างภาพบางคน ที่มาแซะว่าลูกค้าไม่มี ไม่มีเงินมาดราม่ากัน ผมว่าอันนี้คือการ ใช้ปัญญากับสัมมาอาชีพ

“ถ้าเราเป็นโสเภณีทำไมมันมีโสเภณีราคาตั้งแต่ 500 บาท ไปจนถึง 5 แสนบาท ทำไมไม่มีคนที่ต้องการอัพราคาจาก 500 ไปถึง 500,000 ให้ได้โดยการพัฒนาตัวเอง ผมคิดเสมอเลยว่าอาชีพผมคือโสเภณีเพราะผมต้องรับจ้าง เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการคำนวณต้นทุน สมมุตินะช่างภาพ Wedding แต่งตัวเท่กันเลย ใส่สูทกันหมดเลย ทำงานครั้งหนึ่งใช้คน 12 คน เอาแบบที่ราคาเฟี้ยวเลยนะ งานนึงราคา 250,000 บาทหาร 12 หักค่าสูท หักค่าอุปกรณ์ หักค่า Edit ภาพค่าตัดต่อวีดีโอ ทั้งหมดต้องใช้เวลากี่วัน ค่าเช่าของค่าโสหุ้ยต่าง ๆ คำนวณไปมาเจ้าของอาจจะเหลือแค่ 5,000 บาทหรือหมื่นนึงก็ได้ เขาต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อได้เงิน ประมาณ 7,000 บาท

“ในเวลาเท่ากันชาติฉกาจได้เงินสิบล้านบาท มันน่าหมั่นไส้นะ แต่ถ้ามองกลับไป กระดาษทดผมมันเจ๋งทดมาเยอะ แต่คนที่มา ทำตามก็เหมือนกับมาลอกข้อสอบ สิ่งสำคัญที่จะไปถึงกระดาษทดนั้นได้เลยก็คือประสบการณ์ในการเห็นของดี ๆ ที่เจ๋ง ๆ มาเยอะครับ ผมไม่เคยพูดคำว่าเรียลจริงหรืออะไรเลย เพราะผมรู้สึกว่า นกมันไม่เคยรู้สึกหรอกว่าคำว่าอิสระคืออะไร ผมว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่ได้จำเป็นต่อชีวิตของมัน”

จากธุลีสู่ Truly

“ภาพ Portrait ที่เป็นโปสเตอร์ด้านหลังหลาย ๆ คนที่ติดตาม Truly น่าจะรู้จักน้องกอล์ฟ ในวันที่ผมหมดหวังผมเจอเขา คือผมจะต้องแสดงงานที่หอศิลป์ มีการเซ็นสัญญาและคุยกันไว้ แล้วตอนนั้น ก็คิดงานไม่ได้ถ่ายไม่ได้ ก็เริ่มหาข้ออ้างที่จะเบี้ยวเขาแล้ว ผมก็ขับรถที่ยืมมา แล้วเขาก็ขับรถชนผม พอได้เจอเขาก็รู้สึกว่าอยากจะต้องถ่ายรูปน้องคนนี้ให้ได้ ถ่ายด้วยกล้องฟิล์มของผมถ่ายจนเหลือฟิล์มแผ่นสุดท้าย กล้องที่ใช้มันมี 16 รูป ระหว่างที่ถ่าย ใกล้จะเสร็จก็ซื้อน้ำอัดลมให้น้องเขาดื่ม พอเขาจะกลับบ้านเขาก็ยกนิ้วขึ้นมาผมก็เห็นพอดี ก็เลยขอถ่ายรูปอีกรูปนึง

“ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก แต่รู้แค่ว่าวิธีทำงานของเรา คือเราต้องการเปรียบเปรยอะไรสักอย่างหนึ่ง กล้องที่ใช้ก็เป็นกล้องที่ผมโมดิฟายเอง เปรียบเปรยได้ว่ากล้องที่โมเองก็เหมือนการใช้ชีวิตของเขาที่ใช้แบบผิด ๆ ถูก ๆ การที่เราใช้ฟิล์มหมดอายุ ก็เปรียบถึงคนพวกนี้เขาอยู่เขาทำงานไปโดยไม่รู้วันรู้คืนหรอก วันหยุดเขาก็ไม่รู้ มันไม่ได้สำคัญกับเขาหรอก

“อย่างที่ 3 วิธีการถ่ายทำมันต้องเป็นวิธีแบบบ้าน ๆ ล้างรูป ในแล็บธรรมดาไม่ใช่ร้านแล็บโปร เพราะชีวิตเขาก็ไม่รู้หรอก อะไรถูกอะไรผิด ไม่ได้รู้จักการศึกษาที่ถูกต้อง ไม่ได้รู้จักสุขลักษณะอนามัย ตอนนั้นก็คิดประมาณนี้ มันเป็นการเปรียบเปรยที่สมบูรณ์แบบมาก จริง ๆ แล้วมันมาจากก้นบึ้งของตัวผมที่ไม่ได้มาจากความสมบูรณ์แบบ แล้วเจออีกว่านิ้วกลางมันก็ชัดเจนว่าคือการด่าทอเสียดแทง แล้วถุงพลาสติกที่ใช้ใส่น้ำเนี่ยมันก็โคตรไทยเลยนะ และมันก็เป็นตัวแทนของการพูดเรื่องบริโภคนิยม ทุนนิยม เข้ามาอีก

“แล้วมันก็พูดภาพรวมสังคมไปหมดเลยว่าเสื้อวง Death เนี่ย เขาก็ไม่รู้หรอกว่าในปัจจุบันกลายเป็นของแพงหลักหมื่น ที่คนเล่นกัน มันเจ็บมากเลยนะ ตบหน้าเลยนะ น้องคนนี้ที่ใส่เพราะเขาไม่รู้ว่า มันคืออะไร แต่ลวดลายมันทำให้เขารู้สึกว่ามันดูดุร้ายมันเหมือนชีวิตกูเลย แม้จะเป็นของปลอมนะ กับคนที่ชีวิตไม่ผ่านไม่เคยผ่านอะไรมาเลยแต่ซื้อเสื้อตัวนี้มา เพื่อแค่จะให้สังคมเชิดชูว่ากูก็มีเสื้อแบบนี้ เพราะมันหายากมันแพง ใครคือของจริงกว่ากันวะ

“ผมสีทองเนี่ย หากเป็นดาราเป็นไฮโซที่ทำผมทองโดยที่ผมของเขาไม่ได้เกิดมาสีนี้ คนก็ มองว่าคุณดูมีรสนิยมมาก แต่พอเป็นเด็กพวกนี้คนก็มองว่าไอ้เด็กนี้พวกแว้นไงรอวันสงกรานต์ออกมาแว้น ด้วยตัวงานของผมมันเล่าเรื่องเยอะมากแต่มันก็ไม่ได้อยู่ในคุณภาพวงการ ภาพถ่ายไทย

“แต่ช่วงหลัง ๆ ภาพนี้ดังมากในอินเทอร์เน็ตในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เพราะว่าโลกอินเทอร์เน็ต ผมว่ามันคือหนึ่งในคลังความรู้ใหม่ เพราะมีคนที่เป็นผู้นำในด้านต่าง ๆ ผู้นำแฟชั่นเริ่มแชร์รูปนี้ เริ่ม inbox มาขอซื้อรูปนี้ ก็เดาได้ไม่ยากว่า คนเหล่านี้เองเขาก็เห็นตัวเองอยู่ในรูปนี้ ก็เลย ไม่แปลกที่ Frank Ocean ซึ่งเป็นฮิปฮอประดับโลก ซึ่งทุกคนคิดว่าเขาคือตัวจริงมาซื้อรูปนี้ไป ก็น่าภูมิใจ ซึ่งผมภูมิใจ เพราะมันเป็นกระดาษทดที่ควรจะได้รับสิ่งนี้อยู่แล้ว

“เรื่องที่ภูมิใจอีกอย่างคือผมถูกเชิญไปพูดบรรยายที่มหาวิทยาลัย SOAS University of London ในฐานะนักวิจัยเกี่ยวกับฟิล์มกระจก และยกให้เราเป็นนักวิจัยเกี่ยวกับฟิล์มกระจกคนหนึ่งของโลกเป็นหัวข้อเรื่องภาพถ่ายชาวสยามในยุคแรก ความภูมิใจคือเราไปบรรยายให้ดอกเตอร์ ให้ฝรั่งเขายอมรับช่างภาพหรือนักวิจัยชาวไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิครับ และอย่างที่บอกว่าผมภูมิใจที่ได้ทำแบรนด์ Truly เราสร้างสังคมของเราขึ้นมา ในอนาคตจะมีอะไรดี ๆ ออกมาให้ติดตามอีกเยอะครับ”

 

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น... เมื่อเอ่ยถึงชื่อชายคนนี้ หลายคนจะนึกถึงความยียวนและความ(รุน)แรงของเขา แต่ในความกวน ความแรงนั้น เรากลับเห็น อีกด้านที่สว่างสดใส ความน่ารัก ความอ่อนน้อม แนวคิดดี ๆ และความชำนาญอย่างฉกาจในเรื่องการตลาด