
เจาะลึกบทสัมภาษณ์ “เดวิด โคเรนสเวต” เจ้าของบท “ซูเปอร์แมน / คลาร์ก เคนท์” แห่ง DCU ก่อนดู “Superman”
“Superman - ซูเปอร์แมน” คือผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกจากทาง DC Studios (ดีซี สตูดิโอ) อย่างเป็นทางการ ภายใต้ วอร์เนอร์ บราเธอส์ พิคเจอส์ ดัดแปลงจาก DC Comics (ดีซี สตูดิโอ) สู่ปรากฎการณ์จอยักษ์ที่แฟนทั้งโลกเฝ้ารอ ด้วยสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของ เจมส์ กันน์ กับแพสชันในการนำไอคอนิคแห่งจากหน้าหนังสือการ์ตูนมาปรับโฉมใหม่ในจักรวาล DCU (DC Universe) ผสมผสานฉากแอคชันยิ่งใหญ่สุดตระการตา มุกตลกขบขัน และความอบอุ่นสดใส พร้อมนำเสนอ ซูเปอร์แมน ผู้มีความเห็นอกเห็นใจและเชื่อมั่นอย่างสุดใจในเรื่องคุณงามความดีของมนุษย์
“Superman - ซูเปอร์แมน” นำแสดงโดย เดวิด โคเรนเวต (“Twisters,” “Hollywood”) ผู้รับหน้าที่ 2 บทบาท ซูเปอร์แมน / คลาร์ก เคนท์, ราเชล บรอสนาฮาน (“The Marvelous Mrs. Maisel”) รับบท ลูอิส เลน และ นิโคลาส ฮอลท์ (ภาพยนตร์ “X-Men” , “Juror #2”) รับบท เล็กซ์ ลูเธอร์ ภาพยนตร์ยังร่วมแสดงโดย เอดี แกเธกี (“For All Mankind”) แอนโธนี่ คาร์ริแกน (“Barry,” “Gotham”) นาธาน ฟิลเลียน (ภาพยนตร์เรื่อง “Guardians of the Galaxy” , “The Suicide Squad”) อิซาเบล่า เมอร์เซด (“Alien Romulus”) สกายเลอร์ จิซอนโด (“Licorice Pizza,” “Booksmart”) ซารา ซัมไปโอ(“At Midnight”) มาเรีย แกเบรียลา เดอ ฟาเรีย (“The Moodys”) เวนเดลล์ เพียร์ซ (“Selma,” “Tom Clancy’s Jack Ryan”) อลัน ทูดิค (“Andor”) พรูอิตต์ เทย์เลอร์ วินซ์ (“Bird Box”) และ เนวา โฮเวลล์ (“Greedy People”)
สัมภาษณ์ “เดวิด โคเรนสเวต” ผู้รับบท “ซูเปอร์แมน / คลาร์ก เคนท์”
ก่อนที่จะรับบทเป็นตัวละครนี้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซูเปอร์แมนสำหรับคุณคือใคร?
เดวิด : อาจฟังดูแปลกสักหน่อย แต่สิ่งที่ตัวละครนี้หมายถึงสำหรับผมก็คือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุด: เวลาที่คนแปลกหน้าหรือเพื่อน ๆ เรียกผมแบบนั้น ผมไม่ได้เติบโตมากับการดูหนังของดอนเนอร์ (Donner) หรือหนังของคริส รีฟ ผมรู้ว่าใครคือคริสโตเฟอร์ รีฟ และรู้ว่าเขาเล่นบทซูเปอร์แมน แต่ผมไม่ได้เติบโตมากับการดูหนังนั้น ผมไม่ได้โตมากับการอ่านหนังสือการ์ตูน ผมรู้ว่าตัวละครซูเปอร์แมนคือใคร แต่ไม่เคยรู้สึกผูกพันด้วยเป็นพิเศษ ดังนั้นผมคิดว่าการเชื่อมโยงครั้งแรกของผมกับตัวละครนี้คือเวลาที่มีคนบอกว่าผมเหมือนเขา ผมมีเรื่องแปลก ๆ เรื่องหนึ่ง คือตอนผมเรียนมหาวิทยาลัย ผมอยู่กับเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมชั้นสองคน แล้วเสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังขึ้น ผมวิ่งออกจากห้องไปหยิบเก้าอี้มา ยืนบนเก้าอี้ไปปิดสัญญาณเตือนไฟไหม้นั้น หนึ่งในเพื่อนร่วมห้องบอกผมว่า คุณนี่แหละคือซูเปอร์แมนจริงๆ ที่มาช่วยไว้ทันเวลา ผมคิดว่าคนทุกคนโชคดีที่ได้เป็นคนที่ผู้อื่นรู้สึกว่าสามารถอยู่ตรงนั้นได้ในเวลาที่จำเป็น รักษาความใจเย็นและมองโลกในแง่ดีในสถานการณ์ลำบาก ไม่ใช่ว่าผมเคยรู้สึกหรือคิดว่าผมเหมือนซูเปอร์แมน แต่ผมชอบเวลาที่ผมสามารถทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้คนอื่นรู้สึกแบบนั้น ตัวละครนี้สำหรับผมยิ่งใหญ่กว่าการตีความบทบาทใดบทบาทหนึ่ง มันคือความรู้สึกเหมือนมีใครสักคนคอยดูแลคุณ และมีใครสักคนที่รู้ว่าต้องทำอย่างไร หรือถ้าไม่รู้ก็ยังสามารถไม่รู้พร้อมรอยยิ้ม และไม่ตื่นตระหนก นั่นแหละคือหัวใจสำคัญของการเป็นซูเปอร์แมน
หนัง Superman เวอร์ชันของเจมส์ กันน์ เล่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร?
เดวิด : สิ่งที่น่าสนใจตั้งแต่แรกเลยคือ ในหนังเรื่องนี้เราไม่ได้เห็นเรื่องราวต้นกำเนิดของซูเปอร์แมน ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นการผสมผสาน โดยไม่พูดแทนเจมส์ ถึงการยอมรับว่าเรื่องราวต้นกำเนิดนั้นถูกเล่าออกมาได้ดีแล้วในหลาย ๆ รูปแบบ และเข้าใจว่าผู้คนรู้พื้นฐานสำคัญของต้นกำเนิดซูเปอร์แมนอยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับความรักของเขาต่อหนังสือการ์ตูนโดยเฉพาะ ข้อดีอย่างหนึ่งของหนังสือการ์ตูนคือแต่ละเวอร์ชันใหม่ๆ จะเริ่มต้นในจุดที่แตกต่างกัน ไปหยิบเอาบางอย่างที่เป็นเรื่องปกติ ไม่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย และสมมติว่าผู้ชมจะเขียนประวัติศาสตร์ของเวอร์ชันนั้น ๆ ขึ้นมาใหม่ในใจของตัวเอง ซึ่งทำให้คุณได้พบกับตัวละครเหล่านี้ในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ในช่วงสำคัญและพื้นฐานที่สุดของชีวิตพวกเขา แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนเป็นการเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่และจักรวาลใหม่ทั้งใบ สำหรับ ซูเปอร์แมนนั่นหมายความว่าเขาอาศัยอยู่ในเมือง Metropolis แล้ว เขาเป็นฮีโร่ที่ได้รับการยอมรับแล้ว ผู้คนรู้ว่าเขาคือใคร และในฐานะคลาร์ก เคนท์ เขาทำงานให้กับหนังสือพิมพ์ Daily Planet เขาอยู่ในช่วงเริ่มต้นของอาชีพนักข่าว ผมคิดว่าเราจะได้พบเขาในวันแรกที่เขาได้เขียนบทความหน้าหนึ่งชิ้นแรกของเขา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับส่วนของตัวละครคลาร์ก
ส่วนซูเปอร์แมน เราจะได้พบเขาในวันที่เขาโดนทำร้ายอย่างหนัก ซึ่งเป็นเหมือนการปลุกให้เขาตื่นตัวขึ้น และหนังยังเปิดโอกาสให้เราได้พบกับเพื่อนร่วมทางที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจนักอย่างคริปโตด้วย แต่การเริ่มเรื่องตรงกลางแบบนี้ทำให้คุณสามารถดำดิ่งเข้าไปในเรื่องราวและค่อยๆ เก็บชิ้นส่วนที่หลุดหายไปเรื่อยๆ นี่คือวิธีดูหนังในแบบผม
ทั้งซูเปอร์แมนและคลาร์กกำลังจัดการหลายเรื่องในช่วงต้นของภาพยนตร์ ใช่ไหม?
เดวิด : ซูเปอร์แมนตอนนี้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับแล้ว ผมคิดว่าเขากำลังขยายบทบาทไปในระดับนานาชาติ ก่อนหน้านี้เขายังทำงานในระดับท้องถิ่นอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาได้เข้าไปแทรกแซงในความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในต่างประเทศ และก็ได้รับเสียงวิจารณ์หนักในสื่อ
แน่นอนว่าเดลี่ แพลเน็ทได้เขียนบทความชื่นชมเขา โดยฝีมือของคลาร์ก เคนต์ แต่ลูอิส เลนที่ตอนนี้ทั้งคู่กำลังคบหากัน ซึ่งถือว่ายังเป็นเรื่องใหม่ กลับตั้งคำถามกับการกระทำของเขามากกว่า และสงสัยในแรงจูงใจของเขาเล็กน้อย ดังนั้นซูเปอร์แมนก็ถือว่าเป็นที่ยอมรับในบทบาทของเขา และกำลังขยายพื้นที่การทำความดีไปทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันที่บ้าน โลอิสก็เรียกให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองและคิดให้รอบคอบมากขึ้นเกี่ยวกับบางเรื่อง ส่วนในเวทีโลก เล็กซ์ ลูเทอร์ ไม่ชอบแนวคิดที่ซูเปอร์แมนจะมาเป็นผู้ควบคุมหรือมีบทบาทในเรื่องราวของโลกใบนี้
เล่าถึงการทำงานร่วมกับผู้กำกับฯ มากความสามารถอย่างเจมส์ กันน์หน่อย
เดวิด : ผมประหลาดใจมากกับความสนุกที่เจมส์ดูจะมีในทุกบทบาทที่เขาต้องรับผิดชอบ สิ่งที่คุณจะรู้สึกได้จากการดู Guardians of the Galaxy โดยเฉพาะเลยคือ ผู้กำกับคนนี้ไม่ได้แค่ชอบฉากแอ็กชัน แต่ชอบฉากที่มีอะไรเกิดขึ้นเยอะ ๆ ชอบฉากระเบิด ถ้าแค่ระเบิดเพื่อให้มีสีสันบนจอก็ตาม และชอบเอาตัวละครไปอยู่ในสถานการณ์แปลกๆ บ้าๆ ที่พวกเขาต้องหาทางเอาตัวรอด แต่สิ่งที่ผมไม่รู้เลยจนกระทั่งได้เจอเขาตัวจริงครั้งแรกตอนสกรีนเทสต์คือเขาชอบฉากสนทนา ผมมาจากสายละครเวที ผมชอบคุยเรื่องบท เรื่องความหมายของแต่ละคำ เครื่องหมายวรรคตอนแต่ละตัว ซึ่งบางครั้งก็ทำให้คนรำคาญได้ ผมไม่คิดว่าจะทำให้ราเชล (บรอสนาฮาน) รำคาญนะ เพราะเธอมีประสบการณ์แบบนี้เยอะ และผมก็รู้ว่าเราน่าจะเข้าขากันได้ในเรื่องนี้ แต่ผมเคยกังวลว่าเจมส์จะเป็นแบบ “ผมไม่สนเครื่องหมายนั้นหรอก” หรือ “ไม่สนใจหรอกว่าคำนี้หมายถึงอะไร” อะไรแบบนั้น…แต่กลายเป็นว่าเขาพร้อมคุยกับคุณจนสุดทาง ไม่ว่าผลจะออกมาเป็น เขาโน้มน้าวคุณได้ หรือคุณโน้มน้าวเขาได้ หรือคุณสองคนตระหนักได้ว่าคุยผิดประเด็นมาตั้งแต่ต้น แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องจริงที่ควรคุยกัน หรือไม่ก็เหนื่อยกันทั้งคู่แล้วสรุปว่า “ถ่ายเลยแล้วกัน เดี๋ยวค่อยดูว่าออกมายังไง”
การที่มีผู้กำกับที่ขึ้นชื่อเรื่องภาพและความรู้สึก แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับบทสนทนาที่ซับซ้อนมากๆ กับการถกเถียงในเชิงลึก เช่น ว่าอำนาจหมายถึงอะไรเมื่อคุณกำลังคุยกับคนที่คุณรัก มันไม่มีเรื่องไหนเลยที่เขาไม่สนใจ ไม่มีอะไรที่เขาไม่พร้อมจะพูดถึง เราถ่ายฉากแบบนั้นอยู่สองวันเต็ม ๆ จากนั้นสองวันถัดมาเราก็ถ่ายฉากสตันต์ล้วนๆ ถูกเหวี่ยงข้ามห้อง หมุนตัวกลางอากาศ โดนตีหัว ทุกอย่างเป็นเทคนิค เป็นงานสตันต์ทั้งสิ้น แล้วในวันศุกร์ของสัปดาห์แรก เราถ่ายฉากที่ผสมผสานทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน มันเป็นสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตผมเลยก็ว่าได้ เพราะเราได้สัมผัสประสบการณ์ครบทุกมิติของการแสดง และเจมส์เองก็สนุกกับมันตลอด เขารู้จริงในสิ่งที่ทำ และยังอยากเรียนรู้มากขึ้นอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าบท Superman ต้องใช้ร่างกายเยอะมาก — คุณเริ่มเตรียมตัวสำหรับบทนี้ยังไงในช่วงแรก?
เดวิด : จริง ๆ แล้ว ในช่วงแรกสิ่งเดียวที่ผมทำได้คือ... ไปยิม เพราะช่วงนั้นนักแสดงทั่วทั้งวงการอยู่ในช่วงการนัดหยุดงานซึ่งหมายความว่า ผมยังไม่สามารถพูดคุยอะไรกับเจมส์หรือปีเตอร์ แผนกคอสตูม หรือใครได้เลย พวกเรายังไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำว่าเจมส์อยากให้ผมมีรูปร่างแบบไหน ผมรู้แค่ว่าสุดท้ายแล้วผมน่าจะต้องฝึกคิวบู๊ ฝึกสตันต์ ฝึกการต่อสู้ต่างๆ แต่สิ่งเดียวที่เจมส์บอกผมไว้ตอนโทรมาบอกว่าผมได้รับบทนี้แล้วก็คือ “เดวิด คุณดูดีนะ แต่ผมอยากให้มีเทรนเนอร์ส่วนตัว และอยากให้นายทำงานกับไหล่กับความเปราะบางของคุณ” ซึ่งผมว่าประโยคนั้นเจ๋งดีมาก พอมีการนัดหยุดงาน ผมก็พร้อมแล้วที่จะเริ่มไปยิม ผมเลยตัดสินใจว่า จะทำร่างกายให้ใหญ่ขึ้นเท่าที่ทำได้ โดยอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ นี่คือสิ่งที่ผมอยากทำมานานแล้ว: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ผมเป็นคนตัวผอมมาตลอดชีวิต แบบเดียวกับที่คริสโตเฟอร์ รีฟ เคยพูดถึงตัวเองว่าเหมือนต้นถั่ว ดังนั้นผมเลยตื่นเต้นมากที่มีเหตุผลจริงจังให้ต้องเพิ่มน้ำหนักและดูว่ามันให้ความรู้สึกยังไง
การฝึกส่วนใหญ่ของผมคือการเพิ่มน้ำหนักตัว กินเยอะมาก แล้วยกเวทหนักๆ เท่าที่จะทำได้ ดังนั้น สิ่งที่ผมทำส่วนใหญ่ก็มีแค่ คิดว่าจะกินอะไร กินมัน ย่อยมัน ไปยิม ยกเวทวันละประมาณสองชั่วโมงครึ่ง กลับบ้าน นอน แล้วก็ทำแบบนี้ซ้ำๆ มันเป็นระดับของความเข้มข้นที่ผมไม่เคยผลักดันตัวเองถึงจุดนั้นมาก่อนเลยจริงๆ
ซูเปอร์แมนบินได้และต้องต่อสู้ การเตรียมตัวสำหรับสิ่งเหล่านั้นเป็นยังไงสำหรับคุณ?
เดวิด : พอถึงเวลาที่การถ่ายทำเริ่มขึ้นจริงๆ การฝึกฝนของผมก็กลายมาเป็นการฝึกการแสดงบนลวดสลิงเป็นหลัก — สำหรับฉากบิน ฉากต่อสู้กลางอากาศ และฉากแอ็กชันต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนเลย ผมไม่เคยแม้แต่ขึ้นสลิงมาก่อน อาจเคยปีนหน้าผาอยู่ครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ และโชคดีที่ผมไม่กลัวความสูง แต่ปรากฏว่ามัน สนุกมากจริง ๆ และพวกเราก็มีทีมสตันต์ที่ยอดเยี่ยมแบบเกินจริงไปเลย ทีมที่ดูแลเรื่องสลิง, โค้ชคิวบู๊, และนักแสดงสตันต์คือมืออาชีพสุด ๆ พวกเขาทำอะไรที่น่าทึ่งมากและยังเป็นครูที่เก่งอีกด้วย ผมได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ศิลปะของการใช้สลิง ตลอดช่วงพรีโปรดักชัน เพื่อทำให้ผมคุ้นเคยกับมัน แล้วก็เริ่มฝึกท่าทางเฉพาะที่เราคิดหรือรู้ว่าจะมีอยู่ในหนัง นอกจากนี้ก็มีการฝึกต่อสู้อยู่บ้าง แต่สิ่งที่เจ๋งเกี่ยวกับซูเปอร์แมนคือ เขาไม่ใช่นักศิลปะการต่อสู้ เหมือนฮีโร่หลายๆ คน ดังนั้น สไตล์การต่อสู้ของเขาจึงไม่ได้เนียนหรือซับซ้อนอะไร พูดง่าย ๆ คือคุณไม่จำเป็นต้องฝึกหนักเท่าคนอื่น เพราะถ้าคุณชกมั่วๆ ไปสักหมัด มันก็ยังดูเวิร์กอยู่ดี เพราะซูเปอร์แมนใช้พลังดิบเป็นหลัก และเขาอาศัยความเร็วหรือความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้อยู่แล้ว การเตรียมตัวของผมเต็มไปด้วยความสนุก ความท้าทายใหม่ๆ และการเรียนรู้ที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งในเชิงเทคนิคและในเชิงร่างกาย
เจมส์เคยเปรียบการถ่ายทอดฉากบินในหนังเรื่องนี้กับการทำงานของเครื่องบินรบ — คุณได้คุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้นไหม?
เดวิด : ในแง่ของการทำให้ฉากบินดูมีความสมจริงในระดับหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็อยู่ในขอบเขตของกฎฟิสิกส์ในแบบที่เรารับรู้โดยสัญชาตญาณ เราอ้างอิงถึงเครื่องบินรบบ่อยมาก โดยเฉพาะ F-22 ซึ่งมีความสามารถในการเคลื่อนไหวที่เหลือเชื่อ และดูเหมือนจะสามารถหยุดกลางอากาศได้ทันทีแบบที่ดูจะขัดกับหลักฟิสิกส์เลยด้วยซ้ำ มันคือการควบคุมทิศทางแรงขับ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจพื้นฐานสำหรับภาพลักษณ์ และความรู้สึกของการบินในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องความเข้มข้นของการบินที่ควรจะรู้สึกว่าเร็วมาก แต่ไม่เร็วเกินไปจนดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น คล้ายกับตอนที่เห็น F-22 บินผ่าน หรือดูวิดีโอของมันคุณรู้สึกถึงความเร็วอย่างชัดเจน แต่ยังพอจับภาพและเคลื่อนไหวของมันได้
ฟังดูเหมือนว่า "การบินมันเป็นยังไง" จะทำให้คุณตอบแบบเน้นเรื่องปฏิบัติมากกว่าจะเป็นอะไรที่ลึกซึ้งใช่ไหม?
เดวิด : [หัวเราะ] ก็แนวคิดของมันก็อีกอย่างหนึ่ง แต่ในความเป็นจริง เราต้องบินด้วยอุปกรณ์แทบทุกชนิดเลยนะ บางครั้งผมก็บินในขณะที่ยืนอยู่กับพื้น เพราะบางทีมันก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ส่วนอันที่สนุกที่สุดคืออันที่เรียกว่า "ส้อมเสียง" ซึ่งมันเป็นแท่งโลหะขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 20-25 ฟุตได้ มันถูกติดสายเคเบิลไว้กับเพดานตรงกลาง มีตุ้มน้ำหนักอยู่ด้านหลัง แล้วที่ด้านหน้าจะมีลักษณะคล้ายส้อม ซึ่งผมจะเข้าไปอยู่ตรงกลางแล้วก็ถูกล่ามไว้ทั้งสองด้านของสะโพก เพื่อให้สามารถหมุนไปข้างหน้าหรือข้างหลังได้ และเขาก็สามารถหมุนตัวผมได้ เอียงซ้ายขวาได้ แล้วเราก็สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ตามสายเคเบิลที่เชื่อมกับคานบนของเวทีถ่ายทำ มันช่วยให้เราทำท่าบินแบบคลาสสิกที่ตัวลอยขนานไปกับพื้นได้ เอียงซ้ายขวาได้นิดหน่อย ขึ้นลงได้ระดับหนึ่ง แล้วก็ทำท่าขึ้นบินกับลงจอดแบบเท่ๆ ได้ด้วย เราไม่ได้ถ่ายฉากขึ้นบินแบบนี้เยอะนัก เพราะการขึ้นมันเร็วเกินไป แต่เราทำฉากเจ๋งๆ ที่มีการม้วนตัวกลางอากาศสองสามรอบ แล้วก็เหินขึ้นแล้วโฉบลงมาอีกที ด้วยอุปกรณ์นี้เราสามารถเชื่อมต่อท่าบินหลากหลายแบบไว้ในช็อตเดียวได้เลย โดยไม่ต้องตัดเยอะหรือเปลี่ยนไปใช้พวกตัวแสดงดิจิทัลที่สามารถทำอะไรก็ได้
รู้สึกยังไงบ้างตอนใส่ชุดซูเปอร์แมนอันเป็นเอกลักษณ์ครั้งแรก?
เดวิด : คุณอยากได้คำตอบแบบน่าผิดหวังไหมล่ะ? ก็รู้สึกไม่ว้าวเท่าไหร่น่ะสิ รู้ไหมทำไม? เพราะครั้งแรกที่ใส่ชุดแบบนี้ มันยังมาเป็นสองชิ้นอยู่เลย แล้วตัวอักษร S ก็ยังไม่ได้เย็บเข้าที่ดีนัก ผ้าคลุมก็ยังไม่ใช่ของจริง ทุกอย่างยังไม่สมบูรณ์เลย ชุดพวกนี้ต้องใช้การออกแบบ ตัดเย็บ ปรับใหม่ ทดลองใส่ แล้วก็ต้องปรับอีกทีเมื่อเราเริ่มรู้ว่าต้องเคลื่อนไหวยังไงบ้างในชุด หรือเนื้อผ้ามันจะยืดตัวยังไงเมื่อใช้งานไปนานๆ ผมไม่ได้แกล้งทำเป็นรู้เรื่องนะ ถึงแม้ผมจะพยายามตั้งใจตอนลองชุด แต่ต้องยกเครดิตให้ทีมคอสตูมเลย พวกเขาทำงานออกแบบชุดนี้ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดได้อย่างเหลือเชื่อจริงๆ
พอถึงตอนจบ ผมว่าเรื่องนี้มีอยู่สามอย่าง อย่างแรกคือ ผมเริ่มชินกับการใส่ชุดแล้ว จนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งแรกที่ใส่ชุดเต็มๆ มันเมื่อไหร่ อย่างที่สองคือ ทุกครั้งที่นักแสดงร่วมเห็นผมในชุดเป็นครั้งแรก มันเจ๋งมากเลยนะ เพราะสำหรับพวกเขานั่นคือครั้งแรกที่เห็นชุดแบบเต็มๆ หรือบางครั้งที่ผมเห็นตัวเองในจอมอนิเตอร์หลังจากถ่ายฉากไป แล้วมีรีเพลย์เล็กๆ ให้ดูตอนอยู่ในชุด ผมก็คิดเลยว่า “เท่ชะมัดเลย” แล้วก็อีกครั้งตอนถ่ายภาพโปรโมต นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า “มันคือ… ใช่เลย มันเป็นลุคที่ไอคอนิกจริงๆ” พอเห็นภาพเหล่านั้น คุณจะรู้สึกแตกต่างออกไปเลย เหมือนพูดไม่ออก แต่ถึงจะพูดแบบนั้น การใส่ชุดจริงๆ มันไม่ค่อยเท่เท่าไหร่หรอกนะ เพราะความรู้สึกตอนใส่มันไม่ได้เท่เท่าที่เห็นเลยจริงๆ
คุณรับมืออย่างไรกับการเล่นบทบาทสองด้านของซูเปอร์แมนและคลาร์ก เคนท์?
เดวิด : หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ซูเปอร์แมนแตกต่างจากฮีโร่คนอื่นๆ อย่างชัดเจนก็คือ เหตุผลที่เขามีตัวตนอีกด้านไม่เหมือนกับฮีโร่คลาสสิกคนอื่นๆ เช่น แบทแมน เป็นต้น เขาอยากให้ตัวตนในฐานะซูเปอร์ฮีโร่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ในเชิงนามธรรม และเขาอยากแยกชีวิตส่วนตัวออกไปต่างหาก เพื่อจะปกป้องคนที่เขารัก เพราะแบทแมนไม่สามารถอยู่ทุกที่พร้อมกันได้เพื่อปกป้องทุกคนที่เขารัก แต่ซูเปอร์แมน เขามีพ่อแม่ ลูอิส จิมมี่ และเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งส่วนมากก็เป็นซูเปอร์ฮีโร่ด้วยกันอยู่แล้ว และดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่ง ผมเลยรู้สึกว่าซูเปอร์แมนจริง ๆ แล้วสามารถไม่มีตัวตนแฝงก็ยังได้ แต่เหตุผลที่เจมส์กับผมคุยกันไว้สำหรับเวอร์ชันนี้ของเขาที่มีตัวตนแฝง ก็เพราะความรักที่เขามีต่อมนุษยชาติ และสำหรับเขา คลาร์กไม่ใช่ตัวละครที่เขาสวมบทบาท แต่เป็นตัวตนของเขาในแบบที่เขาเติบโตมา ก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาว เป็นเด็กถูกรับเลี้ยง และเรื่องทั้งหมดนั่น มันคือวิธีที่เขาลงทุนในโครงการมนุษย์ ในขณะที่เขาก็ยังเป็นผู้ปกป้องผู้มีพลังเหนือมนุษย์ไปด้วย เขาไม่อยากจะยืนอยู่นอกเกมของมนุษย์ เขาอยากมีส่วนร่วม อยากสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์จริง ๆ รู้ว่ามันรู้สึกยังไงเวลาไปทำงานทุกวัน โดนล้อบ้าง พลาดกำหนดส่งงานบ้าง อะไรพวกนั้น.
โดยปกติแล้ว พอซูเปอร์แมนมาถึงเมโทรโพลิส ก็แทบจะแยกเขาออกจากลูอิส เลน ไม่ได้เลย แล้วลูอิสในหนังเรื่องนี้เป็นยังไง?
เดวิด : สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับซูเปอร์แมนกับลูอิสก็คือ ผมรู้สึกว่าผู้คนรู้จักพวกเขาแม้จะไม่เคยอ่านหนังสือการ์ตูนหรือดูหนังเลยด้วยซ้ำ ลูอิส เลน แทบจะกลายเป็นคำสำนวนสำหรับนักข่าวหญิงเท่ ๆ ที่ฉลาดและช่างสงสัยไปแล้ว ตัวละครทั้งคู่เหมือนก้าวข้ามกาลเวลาและเวอร์ชันต่าง ๆ ของตัวเองมาได้ ลูอิส เลน ของเราในเรื่องนี้ก็เป็นนักข่าวสายสืบสวนแบบคลาสสิก โดยคำว่า "สืบสวน" คือจุดสำคัญเลย เธอเป็นคนที่ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการงาน ชอบขุดคุ้ย ชอบหาความจริง และไม่ยอมปล่อยให้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หลุดรอดสายตาไปได้ มันก็เลยสมเหตุสมผลมากที่เธอกลายเป็นนักข่าวที่ได้รับรางวัลมามากมาย แล้วมันก็ดูแปลกๆ นิดหน่อยที่เธอดันไปเริ่มคบกับคลาร์ก เคนท์ หรือก็คือซูเปอร์แมนนั่นแหละ เพราะถ้าจะพูดกันตรงๆ มันก็ดูเป็นการขัดผลประโยชน์อยู่เหมือนกัน ฉากใหญ่ฉากแรกที่เราเห็นทั้งสองคนมีปฏิสัมพันธ์กัน มันทำให้คลาร์กตกใจพอสมควร เพราะเขาคิดว่าพวกเขาน่าจะมองเรื่องการทำความดีเพื่อโลกในมุมเดียวกัน แต่ลูอิสกลับมีมุมมองที่มองโลกในแง่ร้ายกว่าว่าการทำความดีนั้นต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง ผมคิดว่าถึงแม้โลอิสจะมั่นใจในตัวเอง แต่เธอกลับมีอีโก้น้อยกว่าคลาร์กในเรื่องที่ตัวเองทำ เพราะเธอไม่มีพลังวิเศษแบบดั้งเดิม มีแค่พลังแห่งการเป็นนักข่าวสืบสวนเท่านั้น ส่วนคลาร์ก เขามั่นใจมากว่าเขารู้ว่าอะไรคือความดี และเขาสามารถทำมันได้
ราเชล บรอสนาฮานเติมอะไรให้กับบทของลูอิสบ้าง?
เดวิด : อย่างแรกเลยที่เรเชลใส่เข้าไปในตัวละครนี้ก็คือความช่างสงสัย แค่ท่าทางที่เธอชำเลืองดูคุณ หรือเวลาที่เธอหยุดนิ่งแล้วรอฟังคุณพูด มันให้ความรู้สึกเหมือนเธอเปิดโอกาสให้คุณพูดออกมา ไม่ใช่เพื่อจะจับผิดคุณนะ เพราะเรเชลเป็นคนที่น่ารักและให้การสนับสนุนมาก แต่แม้จะเป็นแบบนั้น เธอก็ยังมีท่าทางเอียงคอนิดๆ กับการหรี่ตาแบบเฉียบๆ ที่ทำให้คุณรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังตั้งใจฟังทุกคำที่คุณพูด ซึ่งมันเยี่ยมมากนะ จนกว่าคุณจะเผลอพูดพลาดนั่นแหละ การที่เราเริ่มถ่ายทำหนังเรื่องนี้ด้วยฉากบทสนทนาหนักๆ 12 หน้ากับเธอ ใช้เวลาสองวันเต็ม ซึ่งก็เป็นฉากเดียวกับที่เราใช้ในรอบทดสอบหน้ากล้อง มันเป็นวิธีเริ่มต้นที่ดีมาก เพราะมันทำให้ชัดเลยว่า หัวใจของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ตัวละครและความสัมพันธ์ของพวกเขา ถึงแม้ในเรื่องจะมีฉากแอ็กชันสนุกๆ แต่แก่นแท้ของมันคือผู้คนกับความคิดและอุดมคติ ของพวกเขา
เจมส์เพิ่มเมตาฮิวแมนคนอื่น ๆ เข้าไปในเรื่องด้วย—เล่าให้ฟังหน่อยเกี่ยวกับ Justice Gang…
เดวิด : โอ้ พวกนั้นน่ะเหรอ [หัวเราะ] ใช่เลย Justice Gang พวกเขาใส่ชุดเท่มาก บอกได้แค่นั้นแหละ พูดตามตรงนะ ผมว่าพวกเขายังต้องปรับปรุงกันอีกเยอะเลย ตอนนี้ออกจะวุ่นวายกันนิดหน่อย ผมว่ามิสเตอร์ เทอร์ริฟิคน่ะดูมีสติมากที่สุดแล้ว ส่วนฮอว์คเกิร์ลก็เจ๋งสุดๆ พูดตรงๆ ผมแอบเกรงเธอนิดๆ ด้วย ส่วนกาย การ์ดเนอร์ นิสัยแย่เลยล่ะ แต่ที่แปลกคือตอนเห็นทั้ง 3 รวมกลุ่มกัน ผมนี่สงสัยเลยว่า พวกเขาไปรวมทีมกันได้ยังไง? ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาอยากให้ผมเข้าร่วมด้วยไหม หรืออยากจะทำงานด้วยแค่แบบภารกิจต่อภารกิจ แบบฟรีแลนซ์อะไรทำนองนั้น ผมว่าพวกเขาน่าจะต้องเคลียร์เรื่องของตัวเองให้ลงตัวก่อนนะ
คลาร์ก เคนท์ อาศัยอยู่ในเมโทรโพลิส แต่ที่ของซูเปอร์แมนจริง ๆ อยู่ไกลถึงอีกฟากหนึ่งของโลก เล่าให้ฟังหน่อยเกี่ยวกับป้อมปราการแห่งความโดดเดี่ยวได้ไหม?
เดวิด : ป้อมปราการแห่งความโดดเดี่ยวเป็นเหมือนถ้ำหรือมุมพักผ่อนส่วนตัวของซูเปอร์แมน ผมคิดว่ามันถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจที่สุดในเรื่อง All-Star Superman ซึ่งผมรู้ว่าเป็นแรงบันดาลใจหลักสำหรับเจมส์ ที่นั่นมันเป็นถ้ำขนาดใหญ่ ไม่ใช่แค่พื้นที่เดียว แต่เป็นเครือข่ายหลายชั้นและไม่มีที่สิ้นสุดของโรงเก็บเครื่องบิน ซูเปอร์แมนมีห้องนอนของเขาอยู่ในนั้น และยังมีที่เก็บซากเรือไททานิก รวมถึงของสะสมอื่นๆ ที่เขารวบรวมไว้ เช่น ปืนยิงรังสีจากนอกโลกและของแปลกต่างๆ ในลักษณะเหมือนพิพิธภัณฑ์ ป้อมปราการแห่งความโดดเดี่ยวของเราในหนังเรื่องนี้เป็นฉากขนาดยักษ์ที่ถูกออกแบบและสร้างขึ้นอย่างงดงามและประณีต มันให้ความรู้สึกสมจริงไม่ต่างจากฉากถ่ายทำกลางแจ้งในนอร์เวย์เลย และมันน่าทึ่งมากที่เราได้ถ่ายทำในฉากจริงที่ใหญ่และออกแบบมาอย่างดีแบบนี้ มันช่วยให้เรารู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกของซูเปอร์แมนได้อย่างแท้จริง
คุณตื่นเต้นที่สุดอยากให้ผู้ชมได้สัมผัสอะไรเมื่อดูหนังซูเปอร์แมนในโรงภาพยนตร์?
เดวิด : หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจ และผมคิดว่าสิ่งที่เจมส์สร้างขึ้นมา ไม่ใช่แค่การดัดแปลงตัวละครจากหนังสือการ์ตูนเท่านั้น แต่คือความรู้สึกเหมือนกับได้ดูหนังสือการ์ตูนที่ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งฉายบนจอขนาดใหญ่ กับนักแสดงจริงๆ และเอฟเฟกต์เจ๋งๆ ที่คุณได้เห็น ไม่ใช่แค่ในหน้าการ์ตูนเล็กๆ อยู่ตรงหน้าคุณ แต่บนจอที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะมีได้ นั่นแหละ คือสิ่งที่ผมคิดว่าจะทำให้แฟน ๆ ตื่นเต้นที่สุด และ... ผมหวังว่านี่จะเป็นหนังสำหรับคนรุ่นใหม่ที่บางทีอาจจะไม่ได้เข้าไปในร้านหนังสือการ์ตูนหรืออ่านหนังสือการ์ตูนมากนัก หวังว่านี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาอยากไปที่ร้านหนังสือการ์ตูนเพื่ออ่านเวอร์ชันเล่มของเรื่องราวเหล่านี้ เหมือนที่เจมส์เคยทำตอนเป็นเด็ก