
เตรียมพบความสยองครั้งใหม่ที่จะเขย่าขวัญคุณให้จมดิ่ง! ผ่านบทสัมภาษณ์ของ แดนนี และ ไมเคิล ฟิลิปโป ผู้กำกับ “Bring Her Back เรียกมันกลับมาหลอน”
หลังจากความสำเร็จของภาพยนตร์แจ้งเกิดยอดนิยมของพวกเขาเรื่อง “Talk To Me…จับมือผี” สองพี่น้องชาวออสซี แดนนี และ ไมเคิล ฟิลิปโป กลับมาพร้อมกับผลงานสุดระทึกเรื่องล่าสุดของพวกเขา “Bring Her Back เรียกมันกลับมาหลอน”
Bring Her Back ว่าด้วยเรื่องราวของ ไปเปอร์ (โซรา หว่อง) ผู้มีความบกพร่องทางสายตา และถูกปกป้องโดย แอนดี้ (บิลลี บาร์รัตต์) พี่ชายคนละแม่ผู้หวงแหนเธอ แอนดี้มักจะระบายสีโลกใบนี้เป็นสีกุหลาบให้กับไปเปอร์ ป้องกันเธอจากความเลวร้ายต่างๆ ในการดำรงชีวิตที่ต้องอยู่ในโลกของคนพิการ หลังจากที่พ่อของทั้งสองเสียชีวิตลง ไปเปอร์และแอนดี้ตกอยู่ภายใต้ความดูแลของ ลอรา (แซลลี ฮอว์กินส์) เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลและที่ปรึกษาสำหรับเด็กกำพร้า ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่ห่างไกลผู้คน เธออาศัยอยู่กับ โอลิเวอร์ (โจนาห์ เรน ฟิลลิปส์) เด็กกำพร้าที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาด ในที่สุดพี่น้องคู่นี้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่อาจจินตนาการได้
สองพี่น้องฝาแฝด แดนนี และ ไมเคิล ฟิลิปโป เริ่มต้นทางยูทูบด้วยซีรีส์คลิปสั้นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทางแชนแนล RackaRacka ที่แปลกประหลาดของพวกเขา การขยับสู่งานภาพยนตร์ของพวกเขา ซึ่งเริ่มต้นจากการเปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2023 ของ Talk to Me ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์อินดีสยองขวัญยอดเยี่ยมในรอบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ได้สร้างแฟนๆ กลุ่มใหม่ให้กับพวกเขา
เราได้เจอกับแดนนีและไมเคิลระหว่างการเดินทางเพื่อประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของพวกเขาในกรุงลอนดอน ที่ซึ่งพวกเขาได้พูดคุยถึงการสร้าง Bring Her Back และแนวทางของพวกเขาในการสร้างภาพยนตร์ที่เข้มข้นที่สุดเรื่องหนึ่งที่ปรากฏอยู่บนจอเงินในปัจจุบัน บทสนทนาของเราถูกตัดต่อเพื่อความกระชับและชัดเจน
แรงบันดาลใจแรกเริ่มสำหรับ Bring Her Back คืออะไร
แดนนี: น้องสาวของเพื่อนเราเป็นคนที่มองไม่เห็นครับ และเธอก็อยากจะขึ้นรถเมล์เองเป็นครั้งแรก แต่ครอบครัวเธอคัดค้าน เพราะพวกเขากลัว แต่เธอพยายามบอกพวกเขาว่าเธอจะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ด้วยตัวเอง นั่นเป็นที่มาแรกของแรงบันดาลใจสำหรับ Bring Her Back ครับ เราคุยกับเธอบ่อยครั้งระหว่างเขียนบทหนังเรื่องนี้...มีตอนหนึ่ง ผมถามเธอว่าเธอเคยรู้สึกไหมว่าเธอขาดอะไรไปหรือเธอเคยรู้สึกอยากจะมองเห็นไหม เธอตอบว่าไม่ เพราะเธอไม่จำเป็นต้องเห็นสิ่งที่อัปลักษณ์ในโลกใบนี้ นั่นเป็นสิ่งที่บาดใจผมจริงๆ และความรู้สึกนั้นก็ถูกใส่เข้าไปในหนังเรื่องนี้ด้วยครับ
คุณเริ่มต้นทำงานใน Bring Her Back ตอนไหน
แดนนี: ในเวลาเดียวกับ Talk to Me ครับ เราพัฒนา Talk to Me และ Bring Her Back ในเวลาเดียวกัน และสลับสับเปลี่ยนกันไปมาระหว่างบทหนังทั้งสองเรื่อง
ไมเคิล: พอถึงตอนที่ Talk to Me เข้าฉาย เราก็เตรียมพร้อมสำหรับ Bring Her Back เรียบร้อยแล้ว และนับตั้งแต่นั้นมา เราก็ไม่เคยหยุดพักเลยครับ
แซลลี ฮอว์กินส์ยอดเยี่ยมมากในหนังเรื่องใหม่นี้ เราไม่เคยเห็นเธอแสดงบทแบบนี้มาก่อนเลย
แดนนี: นั่นคือส่วนที่น่าตื่นเต้นครับ เรารู้ว่าเราอยากได้นักแสดงสมทบที่แข็งแกร่ง ในหนังทุกเรื่องของแซลลี (Blue Jasmine, The Shape of Water) เธอแสดงได้อย่างเหลือเชื่อ และตัวละครแต่ละตัวของเธอก็ให้ความรู้สึกที่สมจริงเหลือเกินด้วยครับ
ไมเคิล: และแตกต่างกันด้วยครับ
แดนนี: แต่ความคิดของการให้เธอมาแสดงหนังสยองขวัญและรับบทตัวร้าย นั่นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากๆ สำหรับเรา เธออ่านบทหนังเรื่องนี้ รู้สึกเชื่อมโยงกับมัน และตื่นเต้นกับมันจริงๆ เราก็ได้คุยกันทางซูม...
ไมเคิล: และมันก็เป็นการประชุมที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุด เธอเป็นคนเรียบง่ายมากๆ เธอสัมผัสได้ถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดในบทอย่างที่ไม่มีใครคนไหนทำได้อีก จากการประชุมครั้งนั้นครั้งเดียว เราก็รู้แล้วว่าเธอจะเหลือเชื่อ แต่เราก็ยังแบบ “ไม่มีทางหรอกที่เธอจะตอบรับ” แต่แล้วเธอกลับตอบตกลง การถ่ายทำกับเธอเป็นประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดเลยล่ะครับ
ทั้ง Talk to Me และ Bring Her Back เป็นหนังเฉพาะทางที่พูดถึงเรื่องความสูญเสียที่ลึกซึ้งส่วนตัว นั่นเป็นสิ่งที่กระทบใจคุณเป็นการส่วนตัวรึเปล่า
แดนนี: ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเขียนบทเสมอ การทำให้มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การขับไล่ปีศาจหรือการพูดถึงเรื่องพวกนั้น และสำหรับหนังสยองขวัญ คุณสามารถสำรวจประเด็นที่รู้สึกอึดอัดได้...ในตอนเริ่มต้นการถ่ายทำ เราสูญเสียเพื่อนของครอบครัวที่สนิทสนมกับเรามากๆ และก็ไม่มีที่ไหนที่เราจะปล่อยวางความเศร้านั้นหรือย่อยความรู้สึกนั้นได้เพราะเราอยู่กันในกองถ่ายแล้ว อารมณ์พวกนั้นก็เลยถูกใส่เข้าไปในหนัง และมันก็เปลี่ยนแปลงหนังเรื่องนี้ไป ฉากที่ถูกเขียนให้น่ากลัวกลับออกมาน่าเศร้าทีเดียว ดังนั้น มันก็เลยให้ความรู้สึกที่เป็นส่วนตัวกว่า ดิบกว่าและเปราะบางกว่าใน Talk to Me ในแง่นั้นครับ
หนังเรื่องนี้เปิดเรื่องและทำให้นึกถึงฟุตเตจสะเทือนขวัญที่ถูกพบ ที่ให้เราได้เห็นบางเศษเสี้ยวของพิธีกรรมที่นำไปสู่แง่มุมเหนือธรรมชาติใน Bring Her Back แต่ตำนานนั้นเพียงแค่ถูกใบ้เป็นนัยๆ เท่านั้น...
แดนนี: เหมือนกับใน Talk to Me นั่นแหละครับ เป็นเรื่องสนุกมากๆ ที่ได้สร้างตำนานของคุณเอง เรามีคัมภีร์ไบเบิลที่หนาอย่างเหลือเชื่อสำหรับหนังทั้งสองเรื่อง ที่ลงรายละเอียดทุกอย่าง เกี่ยวกับพิธีกรรม ว่าเทปม้วนนั้นมาจากไหน คนที่ประกอบพิธีกรรมเป็นใคร ผมชอบการได้ร่ายยาวเกี่ยวกับเรื่องนั้นและพูดถึงมันกับนักแสดง...แล้วก็บอกใบ้เป็นนัยๆ เกี่ยวกับมัน ให้ผู้ชมได้รับรู้ ชิ้นส่วนปริศนาทั้งหมดอยู่ตรงนั้นครับ
ไมเคิล: มันยังเป็นความบิดเบี้ยวด้วยครับ เป็นวิธีการแสดงความเศร้าโศกเสียใจในรูปแบบที่ต่างออกไป ลอรามีเทปงานวันเกิดของลูกสาวที่จากไปแล้วของเธอ หรืออะไรทำนองนั้นด้วย แล้วมันก็มีวิธีที่บิดเบี้ยวแบบนี้ในการเผชิญหน้ากับความโศกเศร้าของเธอ การพยายามจะนำเธอกลับมา ทุกอย่างอยู่ตรงนั้นในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป มีการอธิบายถึงสิ่งต่างๆ แต่ไม่ได้โจ่งแจ้งเกินไปครับ
ช่วยเล่าถึงการเลือกบิลลี บาร์แร็ทท์และโซรา หว่องในบทแอนดี้และไปเปอร์หน่อยได้ไหม
แดนนี: บิลลีแสดงได้อย่างเหลือเชื่อใน Responsible Child (ได้รับรางวัลอินเตอร์เนชันแนล เอ็มมีสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปี 2020) เขาเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ สำหรับโซรา เรารู้ว่าเราต้องการคนที่มีความบกพร่องด้านสายตามารับบทไปเปอร์ให้สมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นหมายถึงการทำงานร่วมกับเอเจนท์คัดเลือกนักแสดงและการคัดเลือกนักแสดงในวงกว้างภายในออสเตรเลีย และการออดิชันของโซราก็ทำให้เราอึ้งไปเลยครับ
ไมเคิล: ผมคิดว่าสำหรับการแสดง มันมีแค่ว่าคุณมีของหรือไม่มีของ ชำนาญหรือไม่ชำนาญเท่านั้นแหละครับ และเธอก็เป็นคนมีของ เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับเธอและปูพื้นไปสู่ฉากที่อารมณ์หนักหน่วงกว่า การเปลี่ยนแปลงของเธอจากจุดเริ่มต้นไปสู่ตอนท้ายของการถ่ายทำเป็นอะไรที่น่าทึ่ง มันเหมือนกับการได้ดูคนสองคนที่แตกต่างกันออกไปเลยครับ
เราควรจะต้องพูดถึงโจนาห์ เรน ฟิลลิปส์ ที่รับบท โอลิเวอร์ ลูกบุญธรรมของลอรา ผู้เกือบจะแย่งชิงความเด่นไปได้ด้วยนะ
ไมเคิล: พวกเขาทุกคนต่างก็แย่งชิงความเด่นไปได้ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป แต่โจนาห์เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์หลากหลายและน่าอัศจรรย์ใจที่สุดเท่าที่คุณจะได้พบ เขาเป็นนักสู้มวยไทย เป็นนักดนตรี เป็นนักแสดงที่เคยแสดงหนังมาแล้วหลายเรื่อง และเขาก็เหมือนเด็กสิบขวบด้วยครับ (หัวเราะ)
แดนนี: และพ่อแม่ของเขาก็เป็นนักแสดงทั้งคู่ด้วย คนที่เล่นเป็นพ่อของแอนดี้และไปเปอร์ (สตีเฟน ฟิลลิปส์ ที่ได้เห็นในตอนเริ่มต้นเรื่อง) เป็นพ่อจริงๆ ของโจนาห์ พวกเขาอยู่ในกองถ่าย คอยช่วยเหลือเขาและเราด้วย มันเป็นการร่วมมือกันที่สร้างสรรค์และเจ๋งจริงๆ ในการเนรมิตชีวิตให้กับโอลิเวอร์ครับ
การร่วมงานระหว่างแซลลี ฮอว์กินส์และนักแสดงที่อายุน้อยขนาดนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ไมเคิล: เธอสามารถช่วยได้จริงๆ ในเรื่องของนักแสดงอายุน้อย เพราะเธอเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์มากที่สุดในกลุ่ม เธอมีความอบอุ่นและความเปิดเผยในแบบที่ช่วยทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายครับ
แดนนี: และเธอก็ให้ทุกอย่างเพื่อช่วยยกระดับการแสดงของพวกเขา เธอทำทุกอย่างเท่าที่เธอทำได้เพื่อช่วยพวกเขา เหมือนอย่างการสวมบทนั้นและแสดงกับพวกเขา แม้แต่ตอนที่เธอไม่ได้อยู่หน้ากล้อง เทคแล้วเทคเล่าครับ
ฉากไหนถ่ายทำยากที่สุด
แดนนี: มีฉากหนึ่งที่ลอราลากไปเปอร์ออกไปกลางสายฝน มันเป็นซีเควนซ์ช็อตเดียวที่วนอยู่รอบสระน้ำ โดยทางการจัดการแล้ว ทั้งเครื่องทำฝน ชิ้นส่วนเทียม การเปลี่ยนจากที่แห้งไปที่เปียก ทั้งหมดเกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวกล้องเพียงครั้งเดียว บวกกับเรื่องเสียง เป็นความท้าทายครับ
ไมเคิล: และน่าแปลกใจที่แมวออกมาจากบ้านด้วยครับ (หัวเราะ) บิลลีเปิดประตูออกมา แล้วจริงๆ แล้ว แมวต้องวิ่งออกมา แต่มันแค่นั่งอยู่ตรงนั้น โดยที่ทีมงานทุกคนมองมัน ใช้เวลาหลายชั่วโมงเลยครับ
แดนนี: หลายชั่วโมงเลย! (หัวเราะ)
คุณมีแนวทางอย่างไรกับความสยดสยองและช่วงเวลาที่น่าตื่นตะลึงกว่าของหนังเรื่องนี้
แดนนี: เราตั้งเป้าไว้ว่าจะถ่ายทำตามความเป็นจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราตั้งคำถามเสมอว่า เราจะสร้างสิ่งที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนได้ยังไง มันเป็นความท้าทายที่สนุกสนานและน่าตื่นเต้นเสมอครับ
ไมเคิล: และการออกแบบเสียงก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญเหลือเกินด้วยครับ ฉากในครัวกับแอนดี้และโอลิเวอร์ให้ความรู้สึกสมจริงเพราะงานเสียงครับ
คุณได้ตั้งข้อจำกัดอะไรไว้บ้างไหม คุณได้ตัดอะไรออกเพราะมันมากเกินไปบ้างรึเปล่า
แดนนี: คุณจะถ่ายทำเรื่องแบบนั้นเกินเลยไปเสมอแหละครับ แต่การตัดต่อเกิดขึ้นเพราะเรื่องของจังหวะมากกว่าความสยดสยอง เป็นสิ่งที่ทำให้แรงเคลื่อนที่เดินต่อไปข้างหน้าครับ นั่นเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพที่สุด
การเปลี่ยนจากการทำงานหนังสั้นออนไลน์มาเป็นหนังในโรงหนังเป็นยังไงบ้าง
แดนนี: นั่นเป็นโรงเรียนหนังของเรา มันเป็นการถ่ายทำทุกอย่างตามความจริง เป็นอะไรที่จับต้องได้มากๆ ทุกอย่างก็เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายทำหนังครับ
ไมเคิล: ความแตกต่างก็คือ สำหรับการถ่ายทำหนัง มันมีความกดดันมากกว่าเยอะ ยิ่งมีคนเกี่ยวข้องมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความคาดหวังมากขึ้นเท่านั้น กับยูทูบ เราเคลื่อนไหวด้วยจังหวะของเราเอง เราปล่อยมันออกมา แล้วก็มีผู้ชมที่ชื่นชอบมัน แต่พอหนังเรื่องนี้ออกสู่สายตาชาวโลก มันจะถูกตัดสินโดยผู้คนมากหน้าหลายตา ที่จะดึงเอาหลายสิ่งหลายอย่างจากมัน มันเป็นกระบวนการที่ยากกว่าและยาวนานกว่าด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นงานที่คุ้มค่ากว่าครับ
แดนนี: บางครั้ง มันก็เป็นงานที่เหนื่อยแสนสาหัส แต่คุณก็แบบ “อะไรต่อล่ะ” (หัวเราะ)
คุณแบ่งหน้าที่ในกองถ่ายกันอย่างไร
ไมเคิล: ในกระบวนการถ่ายทำแต่ละส่วน เรามีสิ่งต่างๆ ที่เราจะอยากเข้าหามากกว่าแตกต่างกันไป ในขั้นตอนโพสต์โปรดักชัน เราตัดต่อกันทั้งคู่ และมือลำดับภาพก็ตัดต่อด้วยเหมือนกัน มันก็เลยจะมีการตัดต่อสามแบบสำหรับทุกๆ ฉาก และมันก็เป็นแบบว่า “อะไรเป็นวิธีการนำเสนอฉากนี้ที่ดีที่สุด” แดนนีจะเน้นไปทางวิชวล เอฟเฟ็กต์และสีสันมากกว่า ส่วนผมจะโน้มเอียงไปทางเอฟเฟ็กต์เสียงและดนตรีมากกว่า เราก็เลยสามารถเป็นผู้นำในส่วนที่แตกต่างกันได้ ในกองถ่าย เราพยายามให้แดนนีเป็นตัวหลักในการพูดคุยกับนักแสดง ส่วนผมก็จะเข้าไปให้ข้อเสนอแนะกับเขา มันเป็นงานที่สมดุลครับ
แดนนี: แล้วก็เรื่องเขียนบทด้วย ผมส่งบทให้เขาอยู่ตลอด แล้วเขาก็จะให้ความคิดเห็นกลับมาแบบตรงไปตรงมาสุดๆ ตลอดเวลา มันดูเหมือนจะเป็นวิธีการทำงานของเราครับ
คุณคาดหวังว่าผู้ชมจะได้รับอะไรไปจาก Bring Her Back
ไมเคิล: ผมหวังว่ามันเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญ และมันจะพลิกความหวังบางอย่างของคุณ ทำให้คุณคาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกถึงอารมณ์บางอย่าง แต่แล้วกลับรู้สึกถึงมันได้ แล้วก็หวังว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้คนอยากกลับไปดูมันอีกนะครับ...
แดนนี: การสร้างหนังที่คนจะเชื่อมโยงกับมันได้เป็นเป้าหมายมาโดยตลอด ผมอยากให้ตัวละครพวกนั้นให้ความรู้สึกสมจริงเสมอแหละครับ
เตรียมพบความสยองครั้งใหม่ที่จะเขย่าขวัญคุณให้จมดิ่ง “Bring Her Back เรียกมันกลับมาหลอน” เปิดรอบพิเศษวันอังคารที่ 3 มิถุนายน 1 ทุ่มเป็นต้นไป ฉายจริงวันพุธที่ 4 มิถุนายน ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น #BringHerBack #เรียกมันกลับมาหลอน