Napoleon : พลิกมุมกลับฉบับตีความใหม่ เมื่อยอดจักรพรรดิ ‘นโปเลียน’ เปิดโหมดนักรักนิสัยเด็ก | Film to Watch Short Review

Napoleon : พลิกมุมกลับฉบับตีความใหม่ เมื่อยอดจักรพรรดิ ‘นโปเลียน’ เปิดโหมดนักรักนิสัยเด็ก | Film to Watch Short Review

เมื่อพูดถึงชื่อของ ‘จักรพรรดินโปเลียนที่ 1’ หรือ ‘นโปเลียน โบนาปาร์ต’ แน่นอนว่าใครๆ ก็คงนึกถึงเขาในแง่มุมของ จักรพรรดิ รัฐบุรุษ ทรราช และผู้บัญชาการทหารที่ปราดเปรื่องแห่งฝรั่งเศส แต่ในมุมมองของ ริดลี่ย์ สก็อตต์ ผู้กำกับรุ่นเก๋าในวัย 85 ที่ยังคงเปี่ยมล้นด้วยแพสชั่น เขากลับเลือกนำเสนอนโปเลียนในแง่มุมที่ต่างออกไป ชนิดที่ว่าพลิกมุมกลับปรับมุมมองกันใหม่ ตีความประวัติศาสตร์ในเวย์ของตัวเองผ่านผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง “Napoleon”

Napoleon คือภาพยนตร์สงครามไบโอพิค ว่าด้วยเรื่องราวของ นโปเลียน โบนาปาร์ต (รับบทโดย วาคิน ฟีนิก) พ่อหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยาน และคาดหวังเหลือเกินว่าหน้าที่การงานจะก้าวหน้าผ่านศึก ล้อมเมืองตูลง (Siege of Toulon) จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะปูเส้นทางชีวิตของเขาให้เถลิงขึ้นสู่อำนาจในภายหลัง

ถึงกระนั้น แม้ศึกสงครามต่างๆ ภายในเรื่องจะถือเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญ อีกทั้งถูกนำเสนอให้ดูยิ่งใหญ่และประณีตในทุกรายละเอียด ชนิดที่ว่าโชว์กลวิธีการรบแบบโอลสคูลให้เห็นกันไปเลย แต่คุณปู่ริดลี่ย์เขาไม่ได้อยากเน้นหนักที่จุดนี้ครับ ความเป็น ‘นักรบ’ ที่เรารับรู้โดยทั่วไปอยู่แล้ว รวมไปถึงเน้นพาร์ทเหตุการณ์ประวัติศาตร์มากนัก ดังนั้นใน Napoleon คุณปู่จึงเน้นหนักมาบอกเสนอนโปเลียนในแง่มุมความเป็น ‘นักรัก’ มากกว่า

จากบันทึกประวัติศาสตร์ที่เราอ่านกันจะเห็นได้ว่า ตลอดช่วงชีวิตของนโปเลียน มีเพียงแค่ โจเซฟีน (รับบทโดย วาเนสส้า เคอร์บี้) เท่านั้นที่กุมหัวใจของเขาได้อยู่หมัด แม้กระทั่งคำพูดสุดท้ายก่อนสิ้นใจก็ยังเป็นชื่อของเธอ ซึ่งคุณปู่ริดลี่ย์ก็ได้นำความสัมพันธ์ของทั้งสองมานำเสนอผ่านวิสัยทัศน์ของตัวเขาเอง ซึ่งบอกได้เลยว่ายียวนอยู่ไม่น้อยครับ

ใครจะไปคิดว่านโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของชาวประชา เมื่ออยู่ต่อหน้าโจเซฟีนแบบสองต่อสอง เขานั้นไม่ต่างอะไรกับนักรักที่ดูเป็น ‘เด็กน้อย’ ทั้งคลั่งรัก ชอบบังคับ เอาแต่ใจ นอกจากนี้ยังหื่นกระหายแบบสุดๆ ไหนจะท่าทีที่ดูเงอะงะไม่เหลือมาดความเป็นผู้นำใดๆ ประโยคที่โจเซฟีนพูดในตัวอย่างว่า “ท่านก็แค่สัตว์ตัวกระจ้อยร่อยไร้พิษสง หากปราศจากข้า” จึงดูไม่เกินจริงนักในภาพยนตร์เรื่องนี้

นอกจากนี้ การเลือกนำเสนอเรื่องราวผ่านวิสัยทัศน์ที่ยียวนของคุณปู่ริดลี่ย์ เราจึงไม่ได้เห็นการ ‘โปร’ นโปเลียนในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย ทั้งความเป็นจักรพรรดิ รัฐบุรุษของชาวประชา หรือผู้บัญชาการทหารที่ปราดเปรื่องผ่านการกรำศึกสงครามกว่า 61 ครั้ง มันแทบจะไม่เหลือมาดอันน่าเกรมขามเท่าไหร่นัก แถมยังดูเป็นเบี้ยเป็นหมากให้เหล่าขุนนางใช้เป็นตัวชน เป็นใบเบิกทางในการช่วงชิงอำนาจกันเองอีกตั้งหาก ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำประโยคที่ว่า “พวกนั้นเห็นข้าเป็นแค่อาวุธชิ้นนึง” จากในตัวอย่างได้เป็นอย่างดี

ยิ่งผลงานเรื่องนี้ได้ วาคิน ฟีนิก หนึ่งในนักแสดงมากฝีมือแห่งวงการมารับบทด้วยแล้ว การแสดงของเขาจึงทำให้เราคนดูคาดเดาอะไรไม่ได้เลยจากตัวละครนี้ บางเวลาเราก็จะได้เห็นความเป็นนักเลง บางทีก็ดูเงอะงะ บางเวลาก็ขี้โม้โอ้อวด หลงตัวเอง อีโก้จัด

จากทั้งหมดที่ว่ามานี้ มันเลยเป็นฉนวนสำคัญที่ทำให้คนดูอย่างเราตั้งคำถามว่า ตกลงแล้วในภาพยนตร์เรื่องนี้ นโปเลียนเขาเจ๋งจริง? หรือเพราะรู้องศาวิธียิงปืนใหญ่ที่แม่นยำก็เลยกรำศึกได้เชียวชาญมากกว่าคนอื่นกันแน่นะ? เพราะความเก่งในฐานะ ‘นักรบ’ มันดูก่ำกึ่งมาก

นี่ยังไม่รวมถึงบทบาทความเป็น ‘นักรัก’ ที่ถูกเน้นหนักมากเป็นพิเศษ ซึ่งไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ นโปเลียนดูเด็กน้อยผู้เงอะงะอยู่ดี

 

#MiXMAGAZINE #mixmagazinethailand #InTrend #NextProgram #FilmToWatch #Napoleon #จักรพรรดินโปเลียน

Napoleon พลิกมุมกลับฉบับตีความใหม่ เผยมาด ‘นักรัก’ มากกว่า ‘นักรบ’ ของ ‘นโปเลียน โบนาปาร์ต’ จากจุดเริ่มต้นของความทะเยอทะยานสู่บั้นปลายที่มากด้วยอีโก้ ผ่านเกมการเมืองและศึกสงครามแบบโอลสคูล