The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes - ดราม่าขั้นสุด แอคชั่นบีบหัวใจ การเมืองคมคาย ยิ่งใหญ่และทรงพลัง | Film to Watch Short Review

The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes - ดราม่าขั้นสุด แอคชั่นบีบหัวใจ การเมืองคมคาย ยิ่งใหญ่และทรงพลัง | Film to Watch Short Review

หลังสร้างปรากฏการณ์ฮังเกอร์เกมส์ฟีเวอร์ไปทั่วโลก ส่งผลให้ The Hunger Games กลายเป็นอีกหนึ่งสุดยอดแฟรนไชส์ประดับโลกภาพยนตร์ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วครับ ที่เหล่าแฟนๆ ทุกคนจะร่วมย้อนไทม์ไลน์ มุ่งหน้าสู่  ‘เกมล่าชีวิต ครั้งที่ 10’ จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ ‘คอริโอเลนัส สโนว์’ จากเด็กหนุ่มผู้ทะเยอทะยาน กลายมาเป็นจอมเผด็จการผู้เลือดเย็นใน “The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes” หรือชื่อภาษาไทย “เดอะ ฮังเกอร์เกมส์ ปฐมบทเกมล่าเกม”

The Ballad of Songbirds and Snakes คือเรื่องราวภาคก่อนของ The Hunger Games ที่อาจไม่ได้ลงลึกถึงต้นกำเนิดของเกมล่าชีวิตจริงจัง แต่เป็นการค้นหาความหมาย ว่าเหตุใดเกมนี้ถึงต้องดำรงอยู่ต่อไปในสายตาของคนฝั่งแคปิตอล นอกจากนี้ยังเป็นการบอกเล่าเรื่องราวต้นกำเนิดของ คอริโอเลนัส สโนว์ ว่าเหตุผลใดเด็กหนุ่มคนนี้ถึงเติบโตมาเป็นจอมเผด็จการที่เลือดเย็น เด็ดขาด และเหี้ยมโหดจนเหล่าผู้คนยอมศิโรราบ

หาก The Hunger Games คือการบอกเล่าเรื่องราวเกมการเมืองและสงคราม โดยมีเรื่องรักสามเศร้าเป็นตัวขับเคลื่อน ทางฝั่ง The Ballad of Songbirds and Snakes จะมุ่งเน้นไปที่เกมการเมืองเป็นหลักมากกว่า  และยังคงวิพากษ์ออกมาได้อย่างคมคาย ผ่านเรื่องราวและบทสนทนาต่างๆ โดยมีเรื่องความรักเป็นชิ้นส่วนสำคัญและคอยขับเคลื่อนเรื่องราวเคียงคู่กันไป

ทางด้านพาร์ทแอคชั่น การต่อสู้เอาตัวรอดในเกมล่าชีวิตเรียกได้ว่ามาน้อยแต่ดุดัน บีบคั้น เน้นสะเทือนอารมณ์มากกว่าชวนบันเทิง ซึ่งถ้าหากคุณคาดหวังว่าจะได้เห็นการบู๊เป็นหลัก ก็อาจผิดหวังได้ เพราะ The Ballad of Songbirds and Snakes เขาเน้นขับเคลื่อนด้วยดราม่าแบบเต็มข้อไปเลยครับ

สำหรับความรักระหว่าง ลูซี เกรย์ แบร์ด เครื่องบรรณาการจากเขต 12 และ คอริโอเลนัส สโนว์ นี่ถือเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนสำคัญไม่แพ้เกมการเมืองที่ช่วยขับเคลื่อนพาร์ทดราม่าให้เข้มข้นและชวนสะเทือนอารมณ์ไปอีกขั้นดังที่กล่าวไว้ครับ เปรียบ ลูซี เกรย์ แบร์ด เป็นดังแอปเปิ้ลในสวนเอเดนที่นำ คอริโอเลนัส สโนว์ ให้ค่อยๆ ถลำลึกสู่ความมืด กลายเป็นหิมะที่ร่วงโรยปกคลุมเหนือทุกสิ่ง พร้อมหยิบยกประโยค “สิ่งที่เรารักที่สุดจะทำลายเรา” ที่ สโนว์ กล่าวไว้ในภาคหลักมาเล่าขยายได้อย่างลุ่มลึก และชวนเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด

ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ มันส่งผลโดยตรงต่อเส้นเรื่องหลักอย่างพาร์ทเส้นทางเผด็จการของ สโนว์ ที่บรรจงบอกเล่าได้อย่างเลือดเย็น ผ่านการโยนหลากสถานการณ์ที่ยากต่อการตัดสินใจครั้งแล้วครั้งเล่าให้กับเด็กหนุ่ม และค่อยๆ สร้างความอิมแพ็กในทุกผลลัพธ์ จนเราแทบจะคาดเดาเรื่องราวไม่ได้เลย นำไปสู่ให้บทสรุปของที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ทว่าดูทรงพลังทางอารมณ์มากเหลือเกินครับ

สรุปแล้ว The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes คือภาพยนตร์ภาคก่อนที่หยิบยกทุกองค์ประกอบของ The Hunger Games ภาคหลักมาบอกเล่าได้อย่างเข้มข้น ขับเคลื่อนด้วยความรัก การเมือง และดราม่าเป็นหลัก ลดทอนบางส่วนเพื่อขับเน้นบางสิ่งให้ออกมาลงตัวมากยิ่งขึ้น ถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญของแฟรนไชส์ที่ช่วยเติมเต็มภาพรวมให้มันดูสมบูรณ์แบบไปอีกขั้น หากมีโอกาส นี่คือโปรแกรมที่แฟนๆ เกมล่าชีวิตไม่ควรพลาดครับ

ปล. ประสบการณ์การรับ The Ballad of Songbirds and Snakes ในระบบ IMAX With Laser บอกเลยว่าเต็มอิ่มมาก ทั้งงานภาพจากสเกลระดับบิ๊กเบิ้มของจอ ที่ช่วยส่งเสริมทุกการการแสดง รวมไปถึงฉากหลังและหลากสถาปัตยกรรมต่างๆ ให้ดูยิ่งใหญ่อลังการ ไหนอัตราส่วนขยายของภาพก็มีมาตลอดแทบจะทั้งเรื่อง ขณะที่ระบบเสียง 12 Channel ก็ช่วยยกระดับทุกซีนอารมณ์ให้ดูอิมแพ็กมากขึ้นไปอีกขั้น เรียกได้ว่าการมีอยู่ของ IMAX ช่วยยกระดับภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ชวนตื่นตาและตื่นใจ เข้าถึงทุกมวลอารมณ์อย่างแท้จริง ซึ่งถ้าใครที่กำลังทรัพย์ไหวก็ลองดูกันนะครับ

 

The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes ปฐมบทแห่งเกมล่าชีวิตที่เรารู้จัก เมื่อสภาพสังคมกำหนดวิธีคิดของผู้คน เปลี่ยน ‘สโนว์’ เด็กหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยาน ให้กลายเป็นผู้พิชิตที่เลือดเย็น