เมื่อความสยองจากอดีตถูกแต่งเสริมและตีความใหม่ กับเรื่องราวเบื้องหลัง "The Conjuring: The Devil Made Me Do It"

เมื่อความสยองจากอดีตถูกแต่งเสริมและตีความใหม่ กับเรื่องราวเบื้องหลัง "The Conjuring: The Devil Made Me Do It"

 

สานต่อจักรวาลให้สยองขวัญและดำมืดไปถึงขั้นสุด ในภาพยนตร์สยองขวัญ-ระทึกขวัญที่แฟน ๆ ทั่วโลกเฝ้ารอ "The Conjuring: The Devil Made Me Do It คนเรียกผี 3 มัจจุราชบงการ" เมื่อคำสั่งฆ่าครั้งนี้มัจจุราชเป็นผู้บงการ! ภายใต้การกำกับฯ ของ ไมเคิล ชาเวส  (The Curse of La Llorona)

ภาพยนตร์เรื่อง "The Conjuring: The Devil Made Me Do It คนเรียกผี 3 มัจจุราชบงการ" เป็นผลงานเรื่องที่ 7 ในจักรวาลคนเรียก The Conjuring Universe ภาพยนตร์แฟรนไชส์สยองขวัญที่มีความยาวนานมากที่สุดในประวัติศาสตร์ กวาดรายได้ทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1.8 พันล้านเหรียญ รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง The Conjuring คนเรียกผี (2013) กับ The Conjuring 2 คนเรียกผี 2 (2016) สองภาคแรก และ Annabelle แอนนาเบลล์ ตุ๊กตาผี (2014), Annabelle: Creation แอนนาเบลล์ กำเนิดตุ๊กตาผี (2017)The Nun เดอะนัน ผีแม่ชี (2018), และ Annabelle Comes Home แอนนาเบลล์ ตุ๊กตาผีกลับบ้าน (2019)

โดย The Conjuring: The Devil Made Me Do It อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงช็อคโลก กับเรื่องราวชวนหลอนเกี่ยวกับความหวาดผวา ฆาตกร และปีศาจลึกลับที่ทำให้ เอ็ด และ ลอร์เรน วอร์เรน (แพทริค วิลสัน และ วีร่า ฟาร์ไมก้า) คู่สามีภรรยานักเรียกผี ผู้สืบสวนเรื่องราวเหนือธรรมชาติในชีวิตจริงต้องตะลึง เมื่อหนึ่งในคดีสะเทือนขวัญจากแฟ้มคดีของพวกเขามีจุดเริ่มจากการต่อสู้กับวิญญาณเพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ชายรายหนึ่ง ก่อนที่คดีนี้จะนำพวกเขาให้ไปพบกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ลุกลามจนถึงขั้นมีการบันทึกลงในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เป็นครั้งแรกว่าผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมกล่าวอ้างว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นเพราะมัจจุราชบงการ

เรื่องราวและการประพันธ์ใหม่

“เป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะก้าวออกมาจากการกำกับฯ ผมเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม” – เจมส์ วาน

เจมส์ วาน เขาคือผู้กำกับภาพยนตร์ นักเขียนบท และผู้อำนวยการสร้าง ชาวออสเตรเลียที่เกิดในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้กำกับ Saw (2004) ภาพยนตร์สยองขวัญเลือดสาดแห่งยุค อีกทั้งเขายังเป็นหนึ่งในผู้ที่จุดประกายให้ภาพยนตร์สยองขวัญทั้งหลายพากันตั้งขบวนพาเหรดเสิร์ฟความหลอนอย่างไม่ขาดสายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ชื่อของ เจมส์ วาน ยังเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ทำให้ The Conjuring คนเรียกผี (2013) หลอกหลอนผู้คนทั่วโลกอย่างต่อเนื่องในฐานะบิดาผู้ให้กำเนิด และเขายังเป็นหนึ่งในพลังแห่งความสร้างสรรค์ที่อยู่เบื้องหลังจักรวาลนี้ให้ค่อย ๆ เติบโตขึ้น ทั้งพัฒนาเรื่องราว ควบคุมเรื่องราวที่สร้างแยกออกมา และกำกับหัวใจสำคัญของภาพยนตร์ “Conjuring” มาถึงปัจจุบัน และนี่เป็นครั้งแรกที่จักรวาลคนเรียกผีแห่งนี้ไม่มี เจมส์ วาน เป็นผู้ควบคุม

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ เจมส์ วาน เกือบไม่ได้กำกับ “The Conjuring 2” (2016) แต่ด้วยคำชักชวนจาก วีร่า ฟาร์ไมก้า และ แพทริค วิลสัน สองนักแสดงที่มารับบท ลอร์เรน และ เอ็ด วอร์เร็น สองสามีภรรยาผู้มีญาณทิพย์และเป็นนักปราบผีตัวจริงเคยผ่านการกำกับฯ ให้กับมาร่วมงานกันอีกครั้ง เขาจึงกลับมา ซึ่งในการสัมภาษณ์เกี่ยวกับ “The Conjuring: The Devil Made Me Do It”  วีร่า ฟาร์ไมก้า ได้กล่าวไว้ว่า “ตอนได้ยินมาว่าเขาจะไม่กำกับฯ ภาคนี้ ฉันคิดเลยว่า ‘ฉันจะตื๊อเขาอีกรอบ และมั่นใจว่าจะต้องได้ผล”

โดย เจมส์ วาน ได้เป็นที่ปรึกษาให้กับผู้กำกับฯ คนอื่นในช่วงแรกของการสร้างภาพยนตร์จักรวาลคนเรียกผี รวมถึงตากล้องที่ร่วมงานกันมาอย่างยาวนาน จอห์น ลีโอเน็ตติ (Annabelle), เดวิด เอฟ. แซนด์เบิร์ก (Lights Out, Annabelle: Creation), โคริน ฮาร์ดี้ (The Nun), แกรี่ ดาวเบอร์แมน (Annabelle Comes Home) และ ไมเคิล ชาเวส (The Curse of La Llorona) ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าจะต้องมีคนสักนอกจากเขาที่มีความสามารถและช่วยควบคุมหัวใจสำคัญของแฟรนไชส์เอาไว้ได้

“ฉันรู้ว่า เขา (เจมส์ วาน) จะต้องมีการปรับเปลี่ยนและประดิษฐ์เรื่องราวออกมา เขาใส่ความเป็นตัวเองลงไปในหนังทุกเรื่อง สิ่งสำคัญที่สุดสสำหรับฉันคือการที่เจมส์ได้พบกับคนที่มีจินตนาการเข้ากัน คนที่ต้องการกำกับฯ เรื่องนี้มากที่สุดในโลก” – วีร่า ฟาร์ไมก้า

“ผมเพิ่งร่วมงานกับ ไมเคิล ชาเวส และผมชอบเขามากเลย ความสร้างสรรค์และแนวคิดของเขาคือสิ่งที่ ‘The Conjuring: The Devil Made Me Do It’ ต้องการ” – เจมส์ วาน

“ชาเวสเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จและมีไหวพริบ เขาเข้าใจความสยองเป็นอย่างดี ไม่มีใครอีกแล้วในหน้าที่นี้นอกจากชาเวส” ปีเตอร์ ซาฟราน ผู้ร่วมงานในจักรวาลภาพยนตร์คนเรียกผี

เมื่อ ไมเคิล ชาเวส ถูกเรียกตัวให้มาร่วมงานใน The Conjuring: The Devil Made Me Do It เขารู้สึกคาดไม่ถึง แต่ก็พร้อมจะกระโดดไปร่วมงานเต็มที่ “มันเหมือนฝันที่เป็นจริง ผมเป็นแฟนตัวยงของหนังเรื่อง ‘Conjuring’ เจมส์คือปรมาจารย์หนังสยองขวัญรุ่นใหม่ ฉะนั้นการได้มาควบคุมโลกที่เขาสร้างขึ้นมามันรู้สึกทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัว มันมีภาระอันยิ่งใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่ต่อเจมส์ แต่ต่อแฟนๆ แฟรนไชส์ และตัวละครที่เขาสร้างขึ้นมาด้วย ผมจะทำพลาดไม่ได้เลย มันคือสิ่งที่น่าหลงใหลมากสำหรับผม” ชาเวสเปิดเผย ที่ผมได้สร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา”

“ชาเวสก็สิ่งที่เสริมเข้ามาได้อย่างดีเยี่ยม เพราะเขารักหนังพวกนี้ และเขาเคารพในตัวเจมส์มาก แถมเขายังมีความกล้าหาญ ไม่กลัวที่จะลองทำสิ่งใหม่และเปิดรับไอเดียใหม่ๆ เขาเคารพในแฟรนไชส์เรื่องนี้ แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะผลักดันมันไปข้างหน้าด้วย” – แพทริค วิลสัน

ไมเคิล ชาเวส ยืนยันว่าเหตุผลหนึ่งที่ เจมส์ วาน เลือกให้เขามากำกับฯ ผลงานล่าสุดของ “Conjuring” เพราะการแชร์ความรักที่มีต่อผลงานฆาตกรรมระทึกขวัญสุดคลาสสิคของ เดวิด ฟินเชอร์ ร่วมกันในเรื่อง “Se7en” (1995) ชาเวสและวานคุยเกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นในฉากของเรื่อง “The Curse of La Llorona” (2019) และมันช่วยให้เกิดการพัฒนาสู่เรื่อง “The Conjuring: The Devil Made Me Do It”

ย้อนกลับไปตอนถ่ายทำเรื่อง “The Conjuring 2” ที่มีการคุยกันถึงคดีต่อไปที่เอ็ดและลอร์เร็นจะแก้ปริศนาบนหน้าจอ เจมส์ วาน รู้ว่าเขาไม่อยากให้ตอนต่อไปเหมือนหนังบ้านผีสิง ที่มีซูเปอร์ฮีโร่เรื่องเหนือธรรมชาติอยู่ในกำแพงสี่เหลี่ยมแบบเดิม และเล่าเรื่องราวที่เคยกล่าวกันมาแล้วในหนัง 2 ภาคแรก “ผมอยากย้ายจากบ้านผีสิง แต่เก็บความหลอนทุกอย่างเอาไว้ และ ‘The Conjuring: The Devil Made Me Do It’ ก็เหมือนหนังสายลับตำรวจที่มีความระทึก เพียงแค่สายลับคือเอ็ดและลอร์เร็น วอร์เร็น ผมจำได้ว่าคุยกับแพทริคและวีร่าเอาไว้ในฉากของเรื่อง ‘Conjuring 2’ ผมอยากสำรวจโลกที่เอ็ดและลอร์เร็นได้ช่วยตำรวจไขคดีอาชญากรรม ผมอยากให้ภาคที่ 3 มีความรู้สึกที่ต่างไป”

เพื่อทำให้เป้าหมายนั้นสำเร็จขึ้นมาได้ ทีมผู้สร้างได้หันไปหาคดีหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสองสามีภรรยาวอร์เร็น เมื่อดูจากหัวเรื่องแล้วคดี “The Devil Made Me Do It” เกี่ยวกับฆาตกรสหรัฐฯ รายแรกที่การอ้างว่าถูกผีสิงเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทีมผู้สร้างรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสอันเหมาะสำหรับเอ็ดและลอร์เร็นในการใช้ความสามารถของพวกเขาอย่างเต็มที่ เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์จากการถูกกล่าวหาและพลังของปีศาจ ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นคดีที่ช็อคและหลอนมากที่สุดสำหรับครอบครัววอร์เร็น

“สำหรับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นี่เป็นเรื่องราวที่มีความลึกลับที่สุดสำหรับครอบครัววอร์เร็น พวกเขาเตรียมการทุกอย่างเพื่อช่วยผู้ต้องหา อาร์นี่ จอห์นสัน และนี่เป็นเรื่องของเด็กชายวัย 19 ปี เขาถูกผีสิงและลงมือฆ่าเจ้าของบ้านเช่า จนโดนสอบสวนในเวลาต่อมา เรามีความหลอนที่น่ากลัวทุกอย่างแบบที่เราหวังจากหนังเรื่อง ‘Conjuring’ แต่มันดูขัดกับเรื่องราวลึกกับที่เกี่ยวข้องในจักรวาล ‘Conjuring’ ทั้งหมด” - ไมเคิล ชาเวส

“เรื่องราวใน ‘The Conjuring’ การสื่อสารของปีศาจจะถูกจำกัดอยู่ภายในห้อง 4 เหลี่ยม ส่วนเรื่องราวของ ‘The Conjuring 2’ เรามีตั๋วเครื่องบินให้เอ็ดและลอร์เร็น เราส่งพวกเขาข้ามประเทศ แต่ภารกิจก็ยังอยู่ในกำแพงสี่เหลี่ยมของบ้าน และในตอนนี้ ‘The Conjuring: The Devil Made Me Do It’ พวกเขาออกจากขีดจำกัดของบ้านผีสิง สู่สถานที่อันโหดร้ายและน่ากลัวที่สุด” – วีร่า ฟาร์ไมก้า

ส่วนประกอบของความจริง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนั้นไม่ได้มี 3 องก์และบทสรุปที่ชวนสยอง ดังนั้นทีมผู้สร้างตึงต้องสร้างเรื่องราวเหล่านั้นมันขึ้นมาใหม่ โดยในเรื่อง “The Conjuring: The Devil Made Me Do It” ทางทีมผู้สร้างได้พบกับอุปสรรคสำคัญ 2 เรื่อง เรื่องเราพวกเขาจะรักษาความเป็นต้นฉบับและความแปลกใหม่ของจักรวาลคนเรียกผีไว้ได้อย่างไร และจะทำให้เรื่องจริงกับเรื่องที่แต่งขึ้นมาสมดุลกันได้อย่างไร

“เราอยากเก็บรายละเอียดต่างๆ จากหนังเรื่องก่อนที่ทุกคนรักเอาไว้ แต่เราก็ไม่อยากให้มันดูซ้ำซากจำเจอีกแล้ว” - เดวิด เลสลี่ จอห์นสัน-แม็คโกลดริค ผู้เขียนบทฯ และสร้างเนื้อเรื่องร่วมกับ เจมส์ วาน

“ในช่วงนาทีแรก คุณจะรู้ว่าตัวเองอยู่ในหนัง ‘Conjuring’ ที่ต่างจากภาคอื่น” - แพทริค วิลสัน

เจมส์ วาน รู้ก่อนจะเริ่มถ่ายทำว่าเขาต้องการให้ “Conjuring” ภาคใหม่มีความลึกลับจากการมีญาณทิพย์ของลอร์เร็นเป็นหลัก จากแรงบันดาลใจในภาพยนตร์ของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ เรื่อง “Eyes of Laura Mars” (1978) และ เดวิด โครเนนเบิร์ก เรื่อง “The Dead Zone” (1983) พวกเขาตามหาคดีที่ลอร์เร็นจะแสดงความเป็นนักสืบเรื่องวิญญาณ โดยที่พรสวรรค์ของเธอจะปรากฎในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มีการใช้ญาณทิพย์เป็นตัววางแผนแทนการใช้ความหวาดกลัวสำหรับแฟนเรื่องราวสยองขวัญ เป็นที่ทราบกันดีว่า ลอร์เร็น วอร์เร็น ตัวจริงได้ให้คำปรึกษาเจ้าหน้าที่ตำรวจมาหลายคดีแล้ว เจมส์ วาน และ จอห์นสัน-แม็คโกลดริค ได้พิจารณาถึงคดีเหล่านั้น แต่ไม่สามารถดัดแปลงให้เป็นอย่างที่ต้องการได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ อาร์นี่ จอห์นสัน หลังจากที่ เดวิด แกลตเซล น้องชายวัย 11 ปี ของ เด็บบี้ แกลตเซล ผู้เป็นแฟนสาวของ อาร์นี่ จอห์นสัน ทำการไล่ผีครั้งสุดท้ายกลับทำให้เกิดเรื่องราวใหม่ขึ้นมา รายละเอียดจากคดีเพียงน้อยนิดทำให้แกลตเซลส์รู้สึกว่าต้องมีใครตั้งใจสาปพวกเขา ไม่มีใครเกิดความระแวงสงสัยได้ลึกซึ้งขนาดนั้นแน่ และดูเหมือนจะลงล็อคกับคดีที่เริ่มมีการตรวจสอบค้นหาความจริงกัน แต่สิ่งที่เด็กชายสงสัยกลับไม่เคยได้รับการพิจารณา แม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง “Conjuring” จะมีใบเบิกทางให้เข้าถึงเรื่องราวเชิงลึกได้เสมอ แต่คดีนี้มีความแตกต่างออกไป เจมส์ วาน และ จอห์นสัน-แม็คโกลดริค ต้องระดมความคิดที่มีทั้งความน่าตื่นเต้นและความสมจริงอยู่ในเรื่องราว

เมื่อมีการตัดสินใจได้อย่างชัดเจนระหว่าง เจมส์ วาน และ จอห์นสัน-แม็คโกลดริค สิ่งต่อมาคือการค้นหาว่าจะเริ่มเรื่องราวต่าง ๆ อย่างไร ในคดี The Devil Made Me Do It หรือเป็นที่รู้จักในชื่อคดี Brookfield Demon Murder ที่มี 2 ส่วนที่ต่างกันคือความทรมาณกับการสิงของ เดวิด แกลตเซล ซึ่งเป็นเรื่องที่เรียกความสนใจเป็นอย่างมากในอดีต เอ็ด และ ลอร์เร็น วอร์เร็น ถูกเรียกตัวมาช่วยเหลือ จนนำไปสู่การที่ อาร์นี่ จอห์นสัน ถูกสิ่ง โดยเขาได้ท้าทายปีศาจที่สิง เดวิด แกลตเซล ในช่วงทำพิธีไล่ผี ซึ่งเอ็ดได้มีการเตือนเอาไว้แล้ว หลายเดือนต่อมาจอห์นสันได้ฆ่าเพื่อนของเขาและเจ้าของบ้านในช่วงที่เขาอ้างว่าถูกผีสิง มีการสอบสวนหลังจากนั้นพร้อมความช่วยเหลือของครอบครัววอร์เร็น คำให้การของเด็กหนุ่มวัย 19 ปี อ้างว่าเขาไม่มีความผิดเพราะถูกผีสิง ทั้งสองเหตุการณ์ที่อังกฤษได้รับการพิจารณาจากศาลว่าถูกผีสิงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่มีผู้พยายามกล่าวอ้างเรื่องการถูกผีสิงเป็นข้อแก้ต่าง ซึ่งได้รับการปฏิเสธจากผู้พิพากษา กลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่สร้างความสนใจแก่ทีมผู้สร้าง

“เราเลือกจะเริ่มจากส่วนที่ดูเป็นบทสรุปธรรมดาของหนังเรื่อง ‘Conjuring’ บ้านผีสิงในเรื่องถูกยกออกไปนอกจอแล้ว เราเข้าถึงพิธีไล่ผีได้เลย เพราะเราเคยเห็นในหนังกันมากอนแล้ว และทำให้เราเริ่มเรื่องของอาร์นี่ได้ทันที เรามุ่งไปหาเหตุการณ์ที่เป็นตัวกระตุ้นเรื่องราวได้เลย นั่นคือตอนที่อาร์นี่ท้าทายปีศาจ” - เดวิด เลสลี่ จอห์นสัน-แม็คโกลดริค

เพื่อเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของ อาร์นี่ จอห์นสัน ให้ชัดเจน จอห์นสัน แม็คโกลดริค ได้ศึกษาข้อมูลในหลายส่วนคดีของ The Devil Made Me Do It เป็นข่าวระดับประเทศ นับเป็นคดีสะเทือนขวัญที่ทกคนต่างพูดถึงกันในเวลานั้น โดยเขาสามารถหาบทความเก่า ๆ ได้จากนิตยสาร Newsweek และ Time Magazine รวมถึงบรรดาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและหนังสือพิมพ์ทั่วไปที่มีการตีพิมพ์เรื่องนี้กันทุกวัน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่กลับมีความสำคัญมาก เมื่อ จอห์นสัน แม็คโกลดริค พบว่าสำเนาต้นฉบับจากศาลเกิดการสูญหายหรือถูกทำลายไป เพราะพวกเขาเปิดเผยว่ามีใครบ้างอยู่ในห้องพิจารณาคดีและตลอดการไต่สวนมีคำให้การจากพยานอย่างไรบ้าง จนทำให้คดีนี้เป็นที่กระจ่างชัด เขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าถึงแหล่งข้อมูลนั้น

“ผมสัมภาษณ์อาร์นี่ จอห์นสัน และ เด็บบี้ แกลตเซล ทั้งสองออกมาพร้อมกันแล้วมันช่วยให้ดีกว่าเสมอ อีกมุมหนึ่งคือเรากำลังจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เราก็เริ่มสบายใจแล้วว่าพวกเขาเป็นใคร นั่นคือสิ่งสำคัญเพราะเราต้องมีรายละเอียดต่างๆ เพื่อประกอบให้เป็นหนังขึ้นมา เรายังอยากย้อนความรู้สึกในมุมของพวกเขาเสมอ นอกจากนี้ในส่วนของเรื่องราวคงไม่มีใครอยากเห็นเอ็ดและลอร์เร็นทะเลาะกัน ผมรู้สึกว่ามีการโต้เถียงเดียวที่จะเกิดขึ้นได้คือใครจะอ่อนโยนกว่ากัน เอ็ดและลอร์เร็นอยู่ข้างเดียวกันตลอดเวลา และในวีดีโอบันทึกการไล่ผีเธรีอัลท์ของจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน ‘Conjuring’ ภาคแรก คุณจะได้ยินเสียงลอร์เร็นถามเอ็ดว่าโอเคมั้ย เพราะเขาดูอาการไม่ดีเลย หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หัวใจวาย เราเลือกที่จะนำมาใส่ในภาคนี้ ถึงแม้เรื่องหัวใจวายของเอ็ดไม่ได้เกิดในช่วงทำพิธีไล่ผีแกลตเซล แต่ก็มีส่วนที่อิงมาจากเรื่องจริง” - เดวิด เลสลี่ จอห์นสัน-แม็คโกลดริค

ในภาพยนตร์เรื่อง “Conjuring” ภาคก่อนๆ เอ็ดมักจะเป็นคนซ่อมรถหรือซ่อมอ่างน้ำ เขาเป็นคนกระฉับกระเฉงและขยับตัวตลอด แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เขามีเรี่ยวแรงถดถอยลง ลอร์เร็นต้องกลายเป็นผู้นำแทน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลย และในบ้านผีสิง เอ็ดและลอร์เร็นมักจะเป็นผู้มีอำนาจเสมอ พวกเขาถูกเรียกตัวไปช่วยเหลือเพราะมีทักษะความชำนาญ พวกเขาไม่จำเป็นต้องออกมาพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าใคร แต่ในเรื่อง “The Conjuring: The Devil Made Me Do It” จะแตกต่างออกไป เพราะตอนนี้เอ็ดและลอร์เร็นต้องพยายามโน้มน้าวผู้มีความแคลงใจในศาสนาที่ศาล และตำรวจต้องช่วยพวกเขาเพื่อการช่วยเหลืออาร์นี่ พวกเขาต้องชนะทนายฝ่าย อาร์นี่ จอห์นสัน ให้ได้โดยพาเธอไปยังห้องเก็บของ ซึ่ง นักสืบเคลย์ คืออีกคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

สิ่งเก่า และ สิ่งใหม่

ภาพยนตร์เรื่อง “Conjuring” แต่ละภาคเป็นความรักที่เกิดขึ้นไปพร้อมกับเรื่องระทึกขวัญเหนือธรรมชาติ ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาวอร์เร็น ตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมา วีร่า ฟาร์ไมก้า และ แพทริค วิลสัน ได้รับบท เอ็ดและลอร์เร็น วอร์เร็น บนหน้าจอในจักรวาลคนเรียกผีทั้ง 3 ภาค ได้แก่ “The Conjuring” (2013) , “The Conjuring 2” (2016) และ “Annabelle Comes Home” (2019) โดยเรื่องราวความรักที่สองนักแสดงมอบให้กันผ่านบทบาทการแสดงก็ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านเรื่องราวของตัวละครบนหน้าจอ ชีวิตการแต่งงานที่มีความสุขจะยิ่งดีขึ้นตามอายุ ความรักระหว่างสองสามีภรรยาวอร์เร็นตัวจริงก็แข็งแกร่งขึ้นตามกาลเวลาด้วย ไม่ต่างกับมิตรภาพระหว่างวิลสันและฟาร์ไมก้า

“มันก็แปลกดีค่ะที่ได้โตไปพร้อมกับสามีสมมุติ อาจจะฟังดูโบราณไปหน่อย แต่ความรักที่มีต่อ แพทริค วิลสัน ยังคงสดใสอยู่เสมอ ฉันชื่นชมเขานะคะ เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เราบรรเทาความหดหู่และอารมณ์จากการทำงานโดยการหัวเราะไปด้วยกัน เขาทำให้ฉันหัวเราะได้ตลอดเลยค่ะ” - วีร่า ฟาร์ไมก้า

“เราไว้วางใจกันตั้งแต่วันแรก นั่นคือจุดเริ่มต้นของเคมีที่เกิดขึ้น เราสบายใจเวลาอยู่ด้วยกัน พวกเรารักในมุมความแปลกของเอ็ดและลอร์เร็น แถมมีความสุขมากด้วยครับ” - แพทริค วิลสัน

ในมุมของการถ่ายทอดเรื่องราว ผู้สร้างภาพยนตร์ใช้เวลานานมากพอจนมั่นใจว่าตัวละครเอ็ดและลอร์เร็นไม่ทิ้งความมีมนุษยธรรมของพวกเขา ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เรื่อง “The Conjuring” มาจนถึง “The Conjuring: The Devil Made Me Do It” เอ็ดและลอร์เร็นยิ่งมีความดุดันในการปราบผีมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่พวกเขาก็มีความอ่อนแอและเจ็บปวดมากขึ้นด้วยเช่นกัน ความรักของพวกเขาฝังแน่นและมีความคิดถึงกันตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่อ่อนโยนและเข้าใจได้เป็นอย่างดี

“ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเอ็ดและลอร์เร็น รางวัลชิ้นใหญ่อย่างหนึ่งที่เราได้รับในช่วงแรกมาจากลอร์เร็น วอร์เร็นตัวจริง เธอรู้สึกว่าเราถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในตัวเธอและเอ็ดออกมาได้อย่างงดงาม เราเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้เสมอในระหว่างที่พัฒนาเรื่องราวเหล่านี้ เราอยากให้เอ็ดและลอร์เร็นภูมิใจกับสิ่งที่เราทำ” - ปีเตอร์ ซาฟราน

“ลอร์เร็นเคยบอกว่า ‘เมื่อศัตรูทำร้าย ฉันจะพึ่งพาพระเจ้า’ และ ‘ต่อต้านปีศาจ และเขาจะหนีหายไป’ ตอนนี้ฉันยังได้ยินเสียงเธอยู่เลย หัวใจสำคัญของแฟรนไชส์เรื่องนี้คือความผูกพันและความรักระหว่างเอ็ดกับลอร์เร็น นั่นคือสิ่งที่ทำให้ต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่น เพราะมันมีเรื่องความรักอยู่ด้วยค่ะ” - วีร่า ฟาร์ไมก้า

สำหรับ The Conjuring: The Devil Made Me Do It แฟน ๆ ของเอ็ดและลอร์เร็นจะได้พบกับความพิเศษในครั้งนี้ด้วย เพราะเราได้สรุปเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาของพวกเขาเอาไว้ จากครั้งแรกที่เราเห็นคู่รักวัยรุ่นเริ่มความสัมพันธ์ มันคือสิงที่แปลกในหนังสยองขวัญทั่วไป ไม่มีอะไรเกี่ยวกับปีศาจเลย เนื้อเรื่องเรียบง่ายและงดงาม ซึ่งไม่ใช่แค่หนังและตัวละครเหล่านั้น แต่หมายถึงจักรวาลทั้งหมดของ “Conjuring” มันไม่มีอะไรให้สงสัย แทบไม่มีอะไรนำไปหาความวุ่นวายได้เลย

ความอบอุ่น ความรัก และความสดใสเริ่มต้นจากสองสามีภรรยาวอร์เร็นตัวจริง มาจนถึง แพทริค วิลสัน และ วีร่า ฟาร์ไมก้า ผู้มารับบทเป็นพวกเขา ทุกอย่างขยายมาถึงทีมงานในกองถ่ายที่ทำให้เรื่องราวต่าง ๆ เป็นรูปร่างขึ้นมาได้ การทำงานในจักรวาลของ “Conjuring” เหมือนบรรยากาศในครอบครัว ทีมงานหลายคนรวมถึงช่างแต่งหน้า ทำผม ผู้ออกแบบฉาก นักแสดงผาดโผน นักแต่งเพลง ตากล้อง ผู้ประดิษฐ์ฉาก ผู้ช่วยผู้กำกับฯ และผู้ตกแตงฉาก รวมถึงนักแสดงกลับมาร่วมงานกันในโลกใบนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้สึกว่าร่วมงานกันง่ายมาก และพิสูจน์ให้เห็นถึงบรรยากาศที่วานสร้างขึ้นมาตลอดหลายปีนี้

ตัวละครทั้ง 3 ที่กลับมารับบทบาทสำคัญในแฟรนไชส์ ได้แก่ สตีฟ โคลเตอร์ รับบท คุณพ่อกอร์ดอน ที่ปรึกษาฝ่ายแคทอลิคของครอบครัววอร์เร็น, แชนนอน คุก รับบท ดรูว์ โธมัส ผู้อุทิศตัวช่วยสืบสวนเรื่องราวเหนือธรรมชาติของครอบครัววอร์เร็น และ สเตอร์ลิง เจอรินส์ รับบท จูดี้ ลูกสาวของครอบครัววอร์เร็นผู้มีศรัทธามั่นแต่มักจะถูกรังควานอยู่บ่อยครั้ง

แม้ว่าจะพบแต่ตัวละครที่คุ้นหน้า แต่นี่คือคดีใหม่ มีครอบครัวใหม่ และศัตรูหน้าใหม่ ตัวละครสำคัญของเรื่องคือ แกลตเซล คาร์ล จูดี้ รับบทโดย พอล วิลสัน น้องชายของ, เด็บบี้ และ เดวิด แกลตเซล รับบทโดยนักแสดงหน้าใหม่ ซาราห์ แคทเธอรีน ฮุค และ จูเลียน ฮิลเลียด ส่วน อาร์นี่ เชอเยน จอห์นสัน ชายผู้ถูกมัจจุราชบงการ รับบทโดยนักแสดงชาวไอริช รูอินี่ โอ’คอนเนอร์

และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ “Conjuring” ภาคนี้แตกต่างภาคก่อน ๆ คือศัตรูไม่ใช่ผู้ที่อยู่เหนือธรรมชาติ คู่สามีภรรยาลอร์เร็นได้พบกับบุคคลผู้ลึกลับที่น่าสนใจ รับบทโดย เออจีนี่ บอนดูแรนต์ เธออยู่ฝั่งด้านมืดที่ตรงกันข้ามกับจุดยืนของคู่สามีภรรยาลอร์เร็นทุกอย่าง เธอเยาะเย้ยในศรัทธาของเอ็ดและลอร์เร็นอย่างชัดเจน และเชื่อในซาตานผู้คุมพลังมืด ทำให้การเดิมพันใน “Conjuring” มีพลังที่ต่างออกไป

สำหรับในบ้านเรา อีกไม่นานเกินรอกับความสยองขวัญสุดหลอนที่ทุกคนรอคอย เมื่อคำสั่งฆ่าครั้งนี้มัจจุราชเป็นผู้บงการ! ในภาพยนตร์เรื่อง "The Conjuring: The Devil Made Me Do It คนเรียกผี 3 มัจจุราชบงการ" พร้อมเข้าฉาย 1 กรกฎาคม ในโรงภาพยนตร์

 

เมื่อความสยองจากอดีตถูกแต่งเสริมและตีความใหม่ สู่อีกจักรวาลที่หลอนคนทั้งโลก กับเรื่องราวเบื้องหลังการสร้าง "The Conjuring: The Devil Made Me Do It คนเรียกผี 3: มัจจุราชบงการ" ภาพยนตร์สยองขวัญแห่งยุคใหม่