"เธอจะปลุกความเป็นฮีโร่ในตัวเราขึ้นมา" เจาะลึกเบื้องหลังเรื่องราวสุดมหัศจรรย์ ใน "Wonder Woman 1984"

"เธอจะปลุกความเป็นฮีโร่ในตัวเราขึ้นมา" เจาะลึกเบื้องหลังเรื่องราวสุดมหัศจรรย์ ใน "Wonder Woman 1984"

ผลงานจากผู้กำกับฯ แพทตี้ เจนคินส์ นำแสดงโดย กัล กาโดต์ ภาพยนตร์เรื่อง “Wonder Woman 1984”  ก้าวสู่อนาคตยุค 1980 อย่างรวดเร็ว เมื่อการผจญภัยบนจอยักษ์ต่อไปของวันเดอร์วูแมนจะได้เห็นเธอเดินทางด้วยสายฟ้าข้ามขอบฟ้า มีปีกเกราะสีทอง และล่าความฝันระหว่างไล่ตามศัตรูหน้าใหม่ที่ยากจะจัดการอย่างแม็กซ์ ลอร์ด และ เดอะ ชีตาห์

ในเรื่อง “Wonder Woman 1984” ชะตากรรมของโลกอยู่บนเส้นด้ายอีกครั้ง และมีเพียงวันเดอร์วูแมนที่จะช่วยได้ โดยภาคใหม่ของ Wonder Woman นี้จะได้เห็น ไดอาน่า ปรินซ์ ใช้ชีวิตเรียบง่ายทามกลางมนุษย์ในยุค 1980 ที่เต็มไปด้วยสีสัน เป็นยุคที่มีการไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาทุกอย่าง แม้ว่าเธอจะมีพลังอย่างเต็มเปี่ยม แต่ก็ยังเลือกที่จะเก็บตัวเงียบ คอยดูแลพวกวัตถุโบราณ และซ่อนความเป็นซูเปอร์ฮีโร่เอาไว้ แต่ตอนนี้ไดอาน่าจะต้องก้าวสู่การเป็นจุดสนใจ และต้องใช้ความฉลาด ความแข็งแกร่ง และความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องมนุษย์จากโลกที่พวกเขาสร้างขึ้นมา

โดยวันเดอร์วูแมนกลับมาในภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ ที่จะพาผู้ชมไปผจญภัยในอดีตอันไม่ห่างไกลนัก และพบกับฮีโร่ของเราในการเดินทางที่ก้าวข้ามโลก นั่นคือช่วงปี 1984 ที่สหรัฐฯ กำลังมีอำนาจและความภาคภูมิใจสูงสุด จะได้เห็นทั้งมุมที่ดีและมุมที่แย่ในตัวพวกเรากันอย่างชัดเจน การค้าขาย ศิลปะ ความมั่งคั่ง เทคโนโลยี ความมีเสน่ห์... ทุกอย่างคว้ามาได้อย่างง่ายดาย ด้วยความรู้สึก “อยากได้อยากมี” ในทุกสิ่งทำให้ยิ่งอยากได้มันมาครองมากขึ้น บรรยากาศในฉากต่างจากยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เคยพาผู้ชมไปพบใน Wonder Woman ปี 2017 อย่างสิ้นเชิง นี่คือเวลานับทศวรรษที่จะท้าทายความเมตตา ความถูกต้อง ความยุติธรรม และการลดความเห็นแก่ตัวที่อยู่ในตัวเธออีกครั้ง พร้อมกับความรักที่เธอมีให้มวลมนุษย์อย่างไมเสื่อมคลาย แม้ว่าเธอจะใช้เวลาหลายปีในการใช้ชีวิตทำงานท่ามกลางผู้คน แต่สำหรับ ไดอาน่า ปรินซ์ ความคิดของ “ฉัน” และ “มากกว่านั้น” ล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เธอเพิ่งทิ้งสรวงสวรรค์เมื่อ 66 ปีก่อน เพื่อปกป้องโลกจากการทำลายล้าง ซึ่งตอนนี้เธอต้องปกป้องโลกอีกครั้ง... จากตัวมันเอง

ผู้กำกับฯ / ผู้ร่วมเขียนบทฯ / ผู้อำนวยการสร้างฯ แพทตี้ เจนคินส์ ตั้งใจทำให้ภาพบนจอยักษ์มีฉากแอ็คชั่นที่ยิ่งใหญ่อลังการมากขึ้น และตัวละครหลักของเรื่องมีการเดิมพันสูงขึ้น “ในภาคแรกไดอาน่าได้พบกับบรรยากาศของโลกเป็นครั้งแรก ส่วนครั้งนี้เธอคุ้นเคยกับความเป็นมนุษย์สูงมาก ทั้งความสำเร็จ ความแม่นยำ การเข้าถึงที่มากเกินไป” เธอกล่าว “ในภาคก่อนจะมีบางอย่างในเรืองที่ผู้ชมทุกคนจะสนุกไปกับมันได้ และมีอะไรหลายที่แฟนพันธุ์แท้จะต้องหลงรัก” เจนคินส์นั่งลงและเล่าต่อว่า “นั่นเป็นเพราะหัวใจหลักของเรื่องอย่างตัวตนของวันเดอร์วูแมนที่แท้จริงไม่เคยจางหายไป การมองโลกแง่ดี คิดแง่บวก มีความกล้าหาญ... การเป็นคนที่ดีขึ้น เธอคือตัวอย่างที่ดีในมุมของซูเปอร์ฮีโร่ควรทำอะไรแบบที่ฉันคิดเอาไว้เลยค่ะ ทำให้เราเห็นว่าเราจะเป็นคนที่ดีขึ้นได้อย่างไร และเตือนพวกเราว่าเราสามารถสร้างโลกที่ดีขึ้นได้”

กัล กาโดต์ ไม่ได้กลับมารับบทนำ ไดอาน่า ปรินซ์ และ วันเดอร์วูแมน เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ผู้สร้างฯ ของเรื่องด้วย เธอเล่าว่า “ในเรื่อง ‘Wonder Woman’ ไดอาน่าต้องใช้ชีวิตท่ามกลางมนุษย์เป็นครั้งแรก ส่วนในเรื่องนี้เธอคุ้นเคยกับความเป็นมนุษย์ผ่านกาลเวลาที่ยาวนาน เธอเรียนรู้ที่จะมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ และเธอก็มีความต้องการบางอย่างแบบที่เธอไม่เคยมี เธอพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา... และพร้อมจะรักษามันไว้ยิ่งชีพ”

กาโดต์เล่าว่าไอเดียเริ่มแรกของเรื่องนี้ต่อยอดมาจากเจนคินส์ “แพทตี้กับฉันกำลังทำภาคแรกกันอยู่ เราไม่รู้ว่าผู้ชมจะมีการตอบรับอย่างไร แต่เราก็มีความฝันไปไกลกันทั้งคู่”  เธอยิ้ม “และเราคิดว่าถ้าเราสร้าง Wonder Woman อีกภาคขึ้นมาได้ มันคงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเธออีกด้านที่ต่างไปเลย”

ผู้สร้างฯ ชาร์ลส โรเวน ที่มีประสบการณ์ศึกษาธีมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจากฮีโร่ของดีซีมาอย่างยาวนานเล่าเสริมว่า สำหรับเรื่องราวของวันเดอร์วูแมนภาคนี้ “เราอยากพาไปไกลพอที่จะเห็นอนาคตของเธอได้ เธอมีทั้งการพัฒนาและการโตขึ้น ช่วงยุค 1980 คือเวลาที่น่าสนใจสำหรับไดอาน่าที่มีความเป็นนิรันดร์ เพราะมันมีเสน่ห์เหมือนลมหายใจของเรามีความเป็นนิรันดร์ได้ด้วย แต่ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปหลายทศวรรษ เธอต้องพบเจออะไรหลายอย่างที่ไม่เคยเจอตอนยังเป็นเด็กน้อยแห่งในอเมซอนอันเป็นนิรันดร์ เช่น การสูญเสียคนที่เธอรัก”

ตัวละครจะวนเวียนกับพฤติกรรมมนุษย์ที่เห็นในชีวิตประจำวันมากขึ้น ความอ่อนแอที่เกิดมาจากแรงปรารถนา สตีฟ เทรวอร์ คนที่ทิ้งไดอาน่าต้องสูญเสียแต่ยังไม่เคยจากเธอไปไหน อย่างน้อยก็ยังอยู่ในใจเธอ แม้ว่าเจนคินส์จะเก็บทุกสิ่งกี่ยวกับการกลับมาของตัวละครในหนังภาคใหม่อย่างมิดชิด แต่เธอเล่าว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องราวภาคใหม่อย่างไม่มีข้อสงสัยแน่นอน “มันทำให้ทุกอย่างลงตัวเหมาะสมในเนื้อเรื่องที่เป็นสูตรสำเร็จของเรา ในความเป็นจริงแล้วกัลป์และคริสรู้โดยนัยระหว่างถ่ายทำภาคแรกแล้วว่า ถ้าเราสร้างภาคที่ 2 ขึ้นมาพวกเขาจะเจอกับอะไรบ้าง”

คริส ไพน์ กลับมารับบทสำคัญและเล่าว่า “แพทตี้รู้ว่าเธออยากให้สตีฟกลับมาในรูปแบบไหน เธอเป็นคนเล่าเรื่องที่เก่ง วาดภาพให้เห็นได้ชัดเจน มีจินตนาการสูงอยู่ในตัว ผมตื่นเต้นทันทีที่จะได้กลับมายังโลกที่เธอสร้างขึ้นมาอีกครั้ง แน่นนอว่ารวมถึงการร่วมงานกับกัลด้วย”

ถ้าในภาคแรกได้เห็นความรักแสนโรแมนติกของไดอาน่า กาโดต์อธิบายวาภาคนี้คงเป็นการค้นหาคุณค่าของตัวละครที่มี “หนังเรื่องนี้ล้วนเกี่ยวกับความเป็นจริง ฟังดูแล้วเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็เป็นเรื่องซับซ้อนในอีกหลายด้าน ในฐานะของคนทั่วไป เรารู้ว่าควรเห็นค่าสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้อย่างไร ความจริงคือสิ่งที่เราเป็นอยู่ แต่เราก็มีความปรารถนาตามที่เราต้องการ ตามที่เราไม่ต้องการ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องจริงตามสิ่งที่เราเป็นอยู่ แน่นอนว่าเราจะลองมีทุกสิ่งตามปรารถนาก็ได้ แต่เราจะได้สิ่งนั้นจริงๆ หรอ?”

ไดอาน่าถูกโน้มน้าวให้เชื่อว่าเธอไม่สามารถมีทุกอย่างได้ จนกระทั่งเธอได้พบกับคนที่หัวใจต้องการ และความเชื่อได้พาเธอข้ามทุกข้อสงสัยที่เธอมี แต่การกลับมาพบกันระหว่างไดอาน่าและสตีฟกลับมีอุปสรรค ซึ่งไม่ใช่จากใครอื่นนอกจาก 2 วายร้ายคนสำคัญของวันเดอร์วูแมน ได้แก่ แม็กซ์เวล ลอร์ด และ เดอะ ชีตาห์

คริสเทน วิก ควบสองบทบาททั้ง บาร์บารา ไมเนอร์วา นักวิทยาศาสตร์ผู้คลั่งไคล้นหนังสือและบท เดอะ ชีตาห์ ผู้เย่อหยิ่ง หนึ่งในตัวละครโปรดของแฟนๆ ที่เป็นคู่แข่งคนสำคัญของวันเดอร์วูแมน “ตอนที่แพทตี้โทรหาฉันเรื่องหนัง ฉันตอบตกลงทันทีเลยค่ะ เพราะฉันรักหนังภาคแรกมาก มันง่ายๆ แบบนั้นเลย จากนั้นพอได้อ่านบทฯ ฉันก็ตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงของตัวละคร ทั้งความเปลี่ยนแปลงของเธอและความเลวร้ายของเธอ ฉันอยากเล่นอะไรแบบนั้นมาตลอดเลยค่ะ มันเหมือนกับความฝันที่ฉันมีโอกาสได้รับบทนี้เลย”

แม็กซ์เวล ลอร์ด วายร้ายที่เข้าสู่โลก DC เมื่อปี 1980 รับบทโดย เปโดร ปาสคาล เขารู้สึกชื่นชมเจนคินส์มาอย่างยาวนานและยอมรับว่าชื่นชอบการทำงานร่วมกับผู้กำกับฯ ในการรับบทนี้ “ผมรู้สึกหลงใหลในยุคนั้นและสิ่งที่ยังคงอยู่กับผมคือความเป็นยุค 80 ทั้งสิ่งที่ดีหรือไม่ดีกว่าทุกวันนี้” เขาหัวเราะ “ความรู้สึกโหยหาและการได้เข้าไปอยู่ในโลกใบนั้นพร้อมกับผู้สร้างฯ ที่เก่งและเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี... ใครบ้างไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของการค้นหาตัวละครอย่างวันเดอร์วูแมน ซูเปอร์ฮีโร่ที่เรานึกไม่ถึงว่าเราจะต้องการขนาดนี้? จนกระทั่งแพทตี้และกัลป์พาเธอมาทำให้เรานึกถึงความเป็นมนุษย์ในแบบที่มีความน่าสนใจมาก”

นอกจากการเพิ่มสีสันและฉากแอ็คชั่นที่มาพร้อมความท้าทายที่สูงขึ้นสำหรับซูเปอร์ฮีโร่ของ DC ทั้งร่างกายและความรู้สึกแล้ว ยุค 80 ยังมอบความตื่นเต้นให้ผู้สร้างฯ ด้วยการออกแบบบรรยากาศและความรู้สึกของเรื่องด้วย ตั้งแต่บรรยากาศรอบตัวไปจนถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและซาวด์แทร็คแนวเรโทร สำหรับเจนคินส์แล้วเรื่องฉากคือสิ่งที่สร้างจากความรู้สึกส่วนตัวไปพร้อมกับความเป็นมืออาชีพของเธอ “ไอเดียแรกของฉากในเรื่องยุค 1984 มาจากความชอบส่วนตัวที่ได้ดูวันเดอร์วูแมนในยุคของฉันค่ะ สำหรับฉันแล้วยุคนั้นคล้ายกับตัวเธอ ในมุมของกระแสความนิยมตัวละครนี้ จากนั้นความสนุกและความท้าทายของฉากคือการพยายามสร้างหนังที่ดูไม่เป็นแนวพีเรียดเกินไป แต่ต้องสร้างความรู้สึกของการดูหนังยุค 80 ขึ้นมาด้วย มันต้องเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับประสบการณ์นั้นค่ะ”

ผู้สร้างฯ สตีเฟน โจนส์ ออกความเห็นว่า “แม้เราจะสร้างหนังซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ พร้อมฉากแอ็คชั่นเสี่ยงตายมากมาย ต้องเดินทางไปหลายประเทศและถ่ายทำในสถานที่จริงทุกครั้งที่มีโอกาส ได้ร่วมงานกับแพทตี้และเข้าใจจินตนาการของเธอ เรารู้ดีว่าบรรยากาศของหนังต้องดูสมจริง เธอชอบการถ่ายทำจริงบนหน้าจอเพื่อให้ภาพและความรู้สึกทุกอย่างเหมือนจริงที่สุด”

กองถ่ายได้วางแผนเรื่องสถานที่ถ่ายทำอย่างรัดกุม ทั้งการถ่ายในสหรัฐฯ อังกฤษ เวลส์ สเปน และหมู่เกาะแคนารี “ฟุทปรินท์โลกของหนังเรื่องนี้มีขนาดใหญ่มากเรื่องหนึ่งที่ผมเคยร่วมงานมา” โรเวนกล่าว “เรายังสามารถถ่ายทำทั้งบนฟิล์ม 35 มม. และไอแมกซ์ 65 มม. ได้ด้วย ซึ่งมันน่าตื่นเต้นมากในเรื่องการสร้างขนาดที่ดูสมจริง และเป็นสื่อกลางที่ช่วยสร้างความเต็มอิ่มให้หนังทุกวันนี้ได้”

ฟอร์แม็ตที่น่าประทับใจและรายละเอียดของฉากที่น่าทึ่ง ทำให้ทั้งผู้สร้างฯ และทีมนักแสดงได้พาตัวเองและผู้ชมเข้าสู่ยุคที่เพิ่งผ่านไปไม่นานนี้ ผ่านมุมมองของซูเปอร์ฮีโร่ที่มีอิทธิพลของโลกคนหนึ่งได้ “นี่คือวันเดอร์วูแมนแบบที่เราทุกคนจำได้ เธอเดินเข้ามาและรับมือกับเหตุร้ายได้อย่างง่ายดาย ดูไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงมั้ย?” เจนคินส์ถาม “มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ เธอมีพลังเหลือล้นอย่างที่เคยเป็น หรือจะ.. หรืออย่างน้อยก็ดูเหมือนแบบนั้น”

วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส นำเสนอภาพยนตร์จาก an Atlas Entertainment/Stone Quarry Production, a Patty Jenkins Film เรื่อง Wonder Woman 1984 ยุคใหม่แห่งความมหัศจรรย์กำลังจะเริ่มขึ้นพร้อมกัน 17 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ระบบปกติ, 4DXMX4D, Screen X และตระการตาบนจอยักษ์ IMAX

 

"เธอจะปลุกความเป็นฮีโร่ในตัวเราขึ้นมา" เจาะลึกเบื้องหลังเรื่องราวสุดมหัศจรรย์ ใน "Wonder Woman 1984"